กรุงเทพฯ--25 พ.ย.--IR network
"สุระ คณิตทวีกุล" แม่ทัพใหญ่ COM7 เผยบิ๊กล็อตเช้านี้ (24 พ.ย. 59) 60 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 12.75 บาทนั้น มาจากกลุ่มผู้ถือหุ้นที่ร่วมก่อตั้งบริษัทฯ 3 ท่าน ขายหุ้นออกมาจำนวน 50 ล้านหุ้น ส่วนที่เหลือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายอื่น หวังเพิ่มสภาพคล่อง เหตุจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไปแสดงความสนใจหุ้นบริษัทฯ เป็นจำนวนมาก การันตีผลงานได้จากการถูกคัดเลือกเข้า SET100 และข้าคำนวณใน MSCI GLOBAL SMALL CAP ในช่วงที่ผ่านมา ย้ำ ตนไม่มีส่วนร่วมการขายบิ๊กล็อตรอบนี้ ครองผู้ถือหุ้นใหญ่เบอร์หนึ่งสัดส่วน 32.72% เท่าเดิม และในฐานะผู้บริหาร พร้อมเดินหน้าสร้างผลประกอบการตามแผนธุรกิจที่วางไว้ เป้าหมายสร้างอาณาจักรค้าปลีกไอทีของบริษัทฯ ให้เติบโตแข็งแกร่งสุด นักลงทุนไม่ต้องกังวล
นายสุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกสินค้าไอทีรายใหญ่ของประเทศไทย ในนาม "BaNANA" , "Studio 7" และ "iCare" เปิดเผยถึงการขายหุ้นบิ๊กล็อตจำนวน 60 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 5% ของทุนชำระแล้ว ในราคาเฉลี่ย 12.75 บาทนั้น เป็นกลุ่มผู้หุ้นที่ร่วมก่อตั้งบริษัทฯ 3 ท่าน ขายหุ้นออกมาจำนวน 50 ล้านหุ้น และเป็นผู้ถือหุ้นบางท่านไม่เคยขายหุ้นออกมาก่อน ส่วนที่เหลือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายอื่นที่ขาย หุ้นออกมา โดยตนเองไม่มีส่วนร่วมการขายบิ๊กล็อตรอบนี้ และครองผู้ถือหุ้นใหญ่เบอร์หนึ่งสัดส่วน 32.72% เท่าเดิม
ทั้งนี้ สาเหตุหลักที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ขายออกมาเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขาย ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในหุ้น จำนวน มาก แต่เกิดการคลื่อนไหวน้อยเนื่องจากกลุ่มสถาบันกองทุน มองเห็นศักยภาพการเติบโตของบริษัทฯ ซื้อหุ้นแล้วเก็บเพื่อลงทุนในระยะยาว ทำให้ปัจจุบันหุ้นของบริษัทฯ มีสภาพคล่องต่ำ ไม่เพียงพอต่อความต้องการ และนักลงทุนสถาบันแสดงความสนใจเข้าถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง ภายหลังผลประกอบการของบริษัทฯ เติบโตโดดเด่น และได้รับคัดเลือกเข้าคำนวณดัชนี SET100 รวมถึงการเข้าคำนวณใน MSCI GLOBAL SMALL CAP ด้วย ทำให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ยอมขายหุ้นบางส่วนให้กับนักลง ทุนสถาบัน
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะไม่มีผลต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ พร้อมทั้งคาดว่าแนวโน้มไตรมาส 4 ปีนี้ จะเป็นอีกปีที่รักษาการเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดได้ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ตลาดสมาร์ทโฟนมีการเติบโต โดยเฉพาะสินค้ารุ่นใหม่ล่าสุดจาก Apple ที่ได้รับความนิยม และวางจำหน่าย iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ในประเทศไทยในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่ากระแสตอบรับจากกลุ่มลูกค้าของ COM7 มีเข้ามาล้น และนับว่าแรงกว่าเมื่อเทียบกับตอนเปิดวางจำหน่าย iPhone 6s และ iPhone 6s Plus นอกจากนี้ สินค้าที่บริษัทฯ ได้รับมามีจำนวนมากกว่าที่ผ่านมา จึงคาดว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่สนับสนุนผลประกอบการ ของบริษัทฯ ให้เติบโตโดดเด่นได้ รวมทั้งมีปัจจัยภายนอกสนับสนุนเพิ่มเติม จากนโยบายจากภาครัฐบาลที่เข้ามากระตุ้นการใช้จ่าย โดยรัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยใน ลักษณะการแจกเงินในช่วงเดือน ธันวาคม ประเมินว่าจะส่งผลบวกโดยตรงให้กับยอดขายของบริษัทฯ ได้ค่อนข้างมาก ซึ่งยิ่งสร้างผลบวกต่อ COM7 และสนับสนุนรายได้และกำไรในปี 2559 สร้างสถิติใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ตามแผนงานที่วางไว้ จากรายได้รวมสำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2559 อยู่ที่ 11,825 ล้านบาท กำไรสุทธิ 260.3 ล้านบาท ขณะที่ รายได้รวมในปี 2558 อยู่ที่ 14,991.73 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 268.46 ล้านบาท
นอกจากนี้ COM7 พร้อมเดินหน้าตามกลยุทธ์ธุรกิจที่วางไว้ ครองความเป็นผู้นำค้าปลีกไอทีรายใหญ่ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนสาขาที่มีอยู่มากถึงราว 280 สาขาทั่วประทศ มีสินค้าไอทีหลากหลายครอบคลุมครบทุกแบรนด์ชั้นนำ รวมทั้ง เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่สุดของ Apple ในประเทศไทย ทั้งในแง่ของยอดขายและปริมาณสาขา และการรีแบรนด์ดิ้งครั้งใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา เปลี่ยน iStudio , iBeat และ U Store By Comseven เป็น Studio7 จะเริ่มมีกิจกรรมการตลาดและโปรโมชั่นที่หลากหลายและเหนือกว่าเดิม นอกจากนี้ การจับมือเป็นพันธมิตรรายสำคัญในกลุ่ม TRUE เพื่อบริหารจัดการขายสินค้าและการให้บริการในจุดบริการลูกค้าทรู จะเริ่มเห็นผลชัดเจนในปีหน้าเป็นต้นไป ซึ่ง COM7 จะยังไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่นอน บริษัทฯ ยังมองหาช่อทางการเติบโตอื่นๆ รวมทั้ง การต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ ทำให้ COM7 เป็นมากกว่าร้านค้าปลีกสินค้าไอทีทั่วไป แต่จะให้ความสำคัญในเรื่องการเติบโตของกำไรเป็นสำคัญด้วย
ทั้งนี้ ปิดสมุดทะเบียนบริษัทฯ ณ 12 พ.ค.2559 ลำดับผู้ถือหุ้นใหญ่ 5 อันดับแรก ได้แก่
ลำดับที่ 1 นาย สุระ คณิตทวีกุล จำนวนหุ้น 392,655,200 ล้านหุ้น คิดเป็น 32.72%
ลำดับที่ 2 นาย บัญชา พันธุมโกมล จำนวนหุ้น 129,124,800 ล้านหุ้น คิดเป็น 10.76 %
ลำดับที่ 3 นาย ประชา ดำรงค์สุทธิพงศ์ จำนวนหุ้น 92,678,800 ล้านหุ้น คิดเป็น 7.72%
ลำดับที่ 4 น.ส. อารี ปรีชานุกูล จำนวนหุ้น 60,600,000 ล้านหุ้น คิดเป็น 5.05%
ลำดับที่ 5 นาย กฤชวัฒน์ วรวานิช จำนวนหุ้น 37,840,000 ล้านหุ้น คิดเป็น 3.15%