กรุงเทพฯ--25 พ.ย.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
กูรูทิสโก้ประเมินเงินทุนต่างชาติไหลออกต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เหตุนโยบายของนาย Trump จุดกระแสเงินทุนไหลกลับ แนะนำเพิ่มพอร์ตหุ้นสหรัฐฯ ตามกระแส Fund Flow โลก
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr. Komsorn Prakobpol, Head of Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit: TISCO ESU) กล่าวว่า หลังจากนาย Donald Trump ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีไปอย่างพลิกล็อกเมื่อวันที่ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา เงินทุนต่างชาติก็ไหลออกจากหุ้นตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายของนาย Trump ที่เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ผ่านการลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว และจุดชนวนให้เกิดเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่
"นับตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค. จนถึงวันที่ 23 พ.ย. นักลงทุนต่างชาติได้ขายหุ้นไทยไปแล้วรวมประมาณ 5 หมื่นล้านบาท เราประเมินแนวโน้มเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้ โดยเปรียบเทียบกับการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติใน 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงไตรมาส 4 ปี 2015 ที่ Fed ประกาศขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. และ เหตุการณ์ Taper Tantrum ในปี 2013โดยในกรณีแรกในช่วงไตรมาส 4 ปี 2015 นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นไทยรวม 6.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งมากกว่าการขายในรอบนี้อยู่อีกราว 1.5 หมื่นล้านบาท และหากประเมินจากยอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติเฉลี่ยรายวัน ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประมาณวันละ 2,000 ล้านบาท เราคาดว่าจะมีแรงเทขายในลักษณะนี้อีกราว 8 วันทำการ หรืออีก 1-2 สัปดาห์หลังจากนี้" นายคมศร กล่าว
ส่วนในกรณี Taper Tantrum ซึ่งเริ่มต้นโดยนาย Ben Bernanke ประธาน Fed ในขณะนั้นได้กล่าวถึงการทยอยลดการเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ซึ่งทำให้เกิดเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่อย่างรุนแรง เหตุการณ์ดังกล่าวกินระยะเวลา 4 เดือน (ตั้งแต่เดือน พ.ค. ถึง ก.ย. 2013) และมีเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทยเป็นจำนวน 1.1 แสนล้านบาท ซึ่งหากเทียบกับกรณีนี้ ก็อาจชี้ว่านักลงทุนต่างชาติอาจมีโอกาสขายหุ้นไทยได้อีกราว 6 หมื่นล้านบาท หรืออีก 1-2 เดือนนับจากนี้ ซึ่งเรามองว่าจะเป็นกรณีเลวร้ายที่สุด
Fund Flow ที่ไหลออกส่วนใหญ่นั้น ได้ไหลกลับไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งมีเงินทุนไหลเข้ากว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 2 สัปดาห์หลังเลือกตั้ง เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากนโยบายของนาย Trump เช่น การลดภาษี และแผนการใช้จ่ายภาครัฐฯ ที่จะช่วยกระตุ้น GDP สหรัฐฯ ให้กลับมาเติบโตได้เกิน 3% ในปีหน้า ส่วนด้านนโยบายภาษี เราประเมินว่าสภา Congress จะอนุมัติให้ลดอัตราภาษีนิติบุคคลลงเหลือ 25% จาก 35% ในปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 8 % โดยประมาณ เราจึงแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพื่อรับกระแส Fund Flow ดังกล่าว