กรุงเทพฯ--29 พ.ย.--ธนาคารยูโอบี
ธนาคารยูโอบีเปิดเผยผลสำรวจ UOB Asian Enterprise Survey 2016 ว่าประเทศเวียดนามมีแนวโน้มรับเงินลงทุนตรงเพิ่มขึ้นจากประเทศไทย มาเลเซียและสิงคโปร์ในช่วง 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า
ธุรกิจจากประเทศมาเลเซีย (ร้อยละ 38) ไทย (ร้อยละ 35) และสิงคโปร์ (ร้อยละ 29) ต่างมองประเทศเวียดนามว่าอยู่ในเป้าหมายการลงทุนที่น่าสนใจ 3 อันดับแรก ผู้ตอบแบบสอบถามจากทั้ง 3 ประเทศคิดเป็นหนึ่งในสามของทั้งหมดที่เลือกเวียดนามเป็นเป้าหมายหลักสำหรับการขยายธุรกิจในอีก 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า
ธุรกิจเหล่านี้เห็นข้อดีของประเทศเวียดนามในด้านของเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ (ร้อยละ 41) ตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่และมีกำลังซื้อสูง (ร้อยละ 40) และภาษีและกฏเกณฑ์ที่เอื้อต่อธุรกิจ (ร้อยละ 35)
การสำรวจพบว่าธุรกิจที่สนใจขยายธุรกิจไปยังเวียดนามมากที่สุดมาจากสาขาการรักษาพยาบาล (ร้อยละ 67) พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ (ร้อยละ 54) และการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ (ร้อยละ 50)
ด้วยเศรษฐกิจที่เติบโตร้อยละ 6.7 ในปี 2558 และแรงงานที่มีอายุไม่เกิน 35 ปี ร้อยละ 60 จากจำนวนประชากรทั้งหมด 90 ล้านคน ประเทศเวียดนามกำลังดึงดูดการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศได้มากขึ้น ในครึ่งแรกของปี 2559 ประเทศเวียดนามได้รับเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจำนวน 11,300 ล้านเหรียญสรอ. นับเป็นการเพิ่มร้อยละ 105 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
นายอีริค แทม หัวหน้าฝ่ายพาณิชย์ธนกิจกลุ่มธนาคารยูโอบีกล่าวว่าผลสำรวจยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการทำธุรกิจของบริษัทในเอเชียและการแสวงหาตลาดใหม่สำหรับเติบโต
"จากการสำรวจ ธุรกิจหลักที่ต้องการขยายสู่เวียดนามอยู่ในสาขาการผลิต การรักษาพยาบาล ยารักษาโรค การก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ และพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งมีความสำคัญต่อการสร้างพื้นฐานสำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามในระยะยาว
การลงทุนในเวียดนามยังช่วยสร้างงานและเพิ่มรายได้ให้ประชาชน ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆในขณะที่ของประชากรที่อยู่ในชุมชนเมืองของเวียดนามมีจำนวนเพิ่มขึ้น และผู้บริโภคที่มีรายได้ระดับกลางเริ่มซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคและใช้จ่ายกับการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี นอกจากนี้ธุรกิจเวียดนามยังจะได้ประโยชน์จากการถ่ายทอดความรู้และทักษะจากธุรกิจต่างชาติที่เข้ามาลงทุน"
ยูโอบีช่วยธุรกิจเอเชียฝ่าความท้าทายในการขยายธุรกิจสู่เวียดนาม
เมื่อเร็วๆนี้ ธนาคารยูโอบีได้จัดการฟอรั่มสำหรับนักลงทุนในโฮจิมินห์ ซิตี้เพื่อช่วยให้ธุรกิจเอเชียกว่า 200 บริษัทประเมินศักยภาพและโอกาสของการลงทุนในเวียดนาม
หนึ่งในบริษัทที่ขยายธุรกิจไปยังเวียดนามได้แก่ CKL Holding Pte Ltd ซึ่งเป็นธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มและมีโรงงานผลิตเครื่องดื่มในโฮจิมินท์ ซิตี้
นาย Chia Chor Meng ประธานบริษัท CKL Holding กล่าวว่า "เราเปิดโรงงานในปี 2539 เพราะตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ของเวียดนาม ต้นทุนการผลิตที่ต่ำ แรงงานมหาศาลและวัตถุดิบที่อุดมสมบูรณ์ เราตั้งหน่วยวิจัยและพัฒนาสินค้าที่เวียดนามซึ่งช่วยให้เราผลิตและขายสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้ซื้อในเวียดนามได้ และเรายังใช้ความเอื้ออำนวยของเวียดนามในการส่งออกสินค้าไปยัง 60 ประเทศทั่วโลก ในปีที่แล้วเราเปิดโรงงานแห่งที่สองซึ่งมีขนาดใหญ่เป็น 5 เท่าของโรงงานแรก เพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น"
ในขณะนี้รัฐบาลเวียดนามกำลังสร้างเสริมศักยภาพในการดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ในปี 2558 หน่วยงานสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศของเวียดนามและธนาคารยูโอบีได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ด้วยกัน เพื่อเพิ่มการค้าและการลงทุนระหว่างเวียดนามกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศเวียดนามมีความร่วมมือลักษณะนี้กับธนาคารพาณิชย์