กรุงเทพฯ--6 ธ.ค.--ธนาคารเอชเอสบีซี
โดย นางสาวซูเซียน ลิม, นายโจเซฟ อินคัลคาเทรา และนางสาวนลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารเอชเอสบีซี
หลังชัยชนะของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เราได้ศึกษาเจาะลึกถึงนัยทางการค้าระหว่างสหรัฐ-อาเซียน
สถานการณ์ในอาเซียนล่าสุด: จีดีพีไตรมาส 3/59 ของประเทศกลุ่มอาเซียนออกมาในลักษณะแตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่ยังมีการเติบโตในระดับต่ำยกเว้นฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ ธนาคารกลางทั่วอาเซียนยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามที่คาดการณ์ไว้ในเดือนพฤศจิกายน การอ่อนค่าลงของสกุลเงินอาเซียนทำให้เราปรับเลื่อนคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอินโดนีเซีย และมาเลเซียออกไปอีกระยะหนึ่ง และคาดว่าจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในไทย
จีดีพีของประเทศกลุ่มอาเซียนในไตรมาส 3/59 ออกมาในลักษณะแตกต่างกัน โดยการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาด ขณะที่เศรษฐกิจสิงคโปร์และมาเลเซียเติบโตได้ดีกว่าคาดการณ์ อย่างไรก็ตาม นัยที่แฝงอยู่ยังคงเป็นการเติบโตได้อย่างช้า ๆ โดยเศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ร้อยละ 3.2 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเศรษฐกิจสิงคโปร์หดตัวที่ร้อยละ 2.0 จากช่วงเดียวกันของไตรมาสก่อน เมื่อลองวิเคราะห์ลึก ๆ การเติบโตของเศรษฐกิจมาเลเซียที่ร้อยละ 4.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยังคงสะท้อนถึงการบริโภคและการลงทุนที่อ่อนแอ
ฟิลิปปินส์เป็นประเทศเดียวที่เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 7.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเกินความคาดหมายของตลาด เป็นผลให้เราปรับคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ในปี 2559 สูงขึ้นจากร้อยละ 6.5 มาเป็นร้อยละ 6.8 โดยปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสินค้าคงทนและการก่อสร้าง ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการโอนเงินกลับประเทศที่สูงขึ้นและการจ้างงานในประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น
ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วอาเซียนยังตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามที่คาดการณ์ ในวันเดียวกับที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.50 ต่อมาธนาคารกลางของฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย ได้ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 3.00 ร้อยละ 4.75 และร้อยละ 3.00 ตามลำดับ ท่ามกลางความผันผวนของตลาดเงินอันเป็นผลมาจากชัยชนะของทรัมป์ส่วนหนึ่ง
เราเลื่อนคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางบางแห่งออกไป ขณะนี้เราคาดว่าสกุลเงินของประเทศในอาเซียนจะอ่อนค่าลงอีกเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าการปรับลดดอกเบี้ยในมาเลเซียจะขยับออกไปเป็นไตรมาส 1/60 และมีความเป็นไปได้ที่อินโดนีเซียจะมีการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ ถึงแม้ว่าจังหวะเวลาการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดยังไม่แน่ชัดและเสถียรภาพของตลาดเงินยังเป็นปัจจัยสำคัญ แต่เราคาดว่าจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไทย สำหรับในฟิลิปปินส์ ถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงขาขึ้นต่อเงินเฟ้อ เรามองว่าจะยังไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น เนื่องจากปริมาณเงินฝากประจำระยะสั้นที่ธนาคารกลางที่เพิ่มขึ้นได้ส่งผลต่อภาวะตลาดการเงินให้ตึงตัวขึ้นบ้างแล้ว
สินค้าส่งออกของไทยไปยังสหรัฐ
สำหรับประเทศไทย สินค้าเครื่องจักรกลทั้งที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์และไม่ใช่อิเล็กทรอนิกส์ เป็นสินค้าหลักที่ส่งออกไปยังสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าอื่น ๆ เช่น ยางพาราและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และอัญมณี ที่สหรัฐอาจจะประสบกับความท้าทายที่จะผลิตเองภายในประเทศ ขณะที่การส่งออกยานยนต์อาจจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก (แต่ที่ต้องกล่าวถึง เนื่องจากธุรกิจยานยนต์มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย) เพราะปริมาณการผลิตรถยนต์ในไทยเพื่อส่งออกไปสหรัฐยังมีน้อยเมื่อเทียบกับปริมาณการผลิตรถยนต์ในสหรัฐในขณะนี้ เนื่องจากประเภทรถยนต์ที่ผลิตในไทย เช่น รถยนต์นั่งขนาดเล็ก ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในสหรัฐ
นัยสำคัญ
ขณะนี้ เราคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐภายใต้การนำของนายโดนัลด์ ทรัมป์ จะเติบโตได้เร็วขึ้นในหลายปีข้างหน้า แต่อาจจะไม่ได้เป็นข่าวดีสำหรับอาเซียน การพลาดโอกาสที่จะได้รับผลประโยชน์จากข้อตกลง TPP หากสหรัฐจะถอนตัวจาก TPP อาจจะชดเชยได้ด้วยผลประโยชน์จากข้อตกลง RCEP เพียงบางส่วนเท่านั้น โดยเวียดนามจะได้อานิสงส์จาก TPP มากที่สุด และสิงคโปร์น้อยที่สุด และถึงแม้ว่าโอกาสที่จะเกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนน่าจะมีน้อย แต่อาเซียนก็กำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยงจากการผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากแนวนโยบายโดดเดี่ยวมากขึ้นของสหรัฐ
นอกจากนี้ ยังต้องคอยติดตามต่อไปว่า การเกินดุลการค้ากับสหรัฐที่สูงมากของอาเซียนจะถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลสหรัฐภายใต้การบริหารของทรัมป์หรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น สหรัฐก็อาจจะยังไม่ดึง"การจ้างงาน" หรืออุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำในเวียดนามกลับประเทศ แต่เศรษฐกิจที่มีมูลค่าเพิ่มสูงกว่าอย่างมาเลเซียและไทยอาจจะไม่โชคดีเช่นนั้น
เมื่อพิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว ณ จุดนี้ เรายังคงมีมุมมองว่าเศรษฐกิจอาเซียนจะสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องหากแต่จะเป็นการเติบโตในระดับต่ำต่อไป โดยคาดว่าการเติบโตของจีดีพีของอาเซียนจะอยู่ที่ร้อยละ 4.3 ในปีหน้า และจะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นร้อยละ 4.5 ในปี 2561 ในกรณีที่เลวร้าย การเติบโตของอาเซียนอาจจะชะลอลงอีกจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยฉุดรั้งเพิ่มเติมท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมภายนอกที่ปัจจุบันก็มีความท้าทายอยู่แล้ว
โชคไม่ดีที่เครื่องมือที่ยังเหลืออยู่ของผู้กำหนดนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเพื่อรับมือกับการเติบโตที่เชื่องช้าของเศรษฐกิจเริ่มมีจำกัดมากขึ้น อนึ่ง กระแสเงินทุนไหลออกจากอาเซียนอย่างหนักตั้งแต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งส่งผลให้สกุลเงินของประเทศกลุ่มอาเซียนอ่อนค่าลง ซึ่งทีมนักกลยุทธ์ด้านอัตราแลกเปลี่ยนของเอชเอสบีซีคาดว่าจะยังคงดำเนินต่อไปอีกระยะ ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะทำให้การผ่อนคลายทางการเงินมีจำกัดมากขึ้น ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้ปรับมุมมองใหม่โดยคาดว่าจะไม่มีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในไทย ซึ่งเดิมคาดว่าจะปรับลดร้อยละ 0.25 อีกครั้งเดียวในไตรมาส 4/59 เหลือร้อยละ 1.25 และเลื่อนคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในอินโดนีเซียอีกร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 4.50 ออกไปเป็นเดือนธันวาคม ถึงแม้ว่าการตัดสินใจของเฟดในช่วงเวลาที่เกือบจะพ้องกันนี้อาจจะทำให้เกิดความไม่แน่นอน นอกจากนี้ เรายังเลื่อนคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยในมาเลเซียที่เหลืออีกหนึ่งครั้งลงไปอยู่ที่ร้อยละ 2.75 ออกไปเป็นไตรมาส 1/60 อีกด้วย
เมื่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอาเซียนใกล้สู่จุดสุดท้าย หน้าที่การกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศย่อมเป็นของรัฐบาลผ่านนโยบายการคลัง แต่แน่นอนว่าเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินนโยบายมีจำกัดเช่นเดียวกัน โดยในปีหน้าฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทยยังมีโอกาสดำเนินนโยบายขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นได้ โดยเริ่มต้นจากร้อยละ 0.2 ของจีดีพีในสิงคโปร์ที่เศรษฐกิจแลดูค่อนข้างนิ่ง ไปจนถึงระดับร้อยละ 3.2 ของจีดีพีสำหรับประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ในปีนี้อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนามยังอยู่ในภาวะย่ำแย่ที่จะรักษาการขาดดุลการคลังมิให้เพิ่มมากขึ้นจากการที่เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างช้า ๆ และราคาน้ำมันและก๊าซที่ลดต่ำลง และจำเป็นที่จะต้องใช้นโยบายการคลังแบบตึงตัวแทนการใช้นโยบายแบบขยายตัวในปี 2560