กรุงเทพฯ--13 ธ.ค.--ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรทิจีส์ ประเทศไทย
เต็ดตรา แพ้ค บริษัทผู้นำด้านกระบวนการผลิตและบรรจุอาหารด้วยโซลูชั่นครบวงจรระดับสากล ลงนามเข้าร่วม RE100 มุ่งมั่นเป็นส่วนหนึ่งในการนำพลังงานไฟฟ้าทดแทนมาใช้ในระบบการผลิตทั่วโลกให้ครบ 100% ภายในปี 2030 จาก 20% ในปัจจุบัน โดยการประกาศครั้งสำคัญนี้มีขึ้นที่การประชุม Clean Energy Ministerial ในวันที่ 2 มิถุนายน ที่ผ่านมา ณ เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา
มิสเตอร์ ชาร์ลส แบรนด์ รองประธานบริหารด้านการจัดการผลิตภัณฑ์และการดำเนินงานเชิงพาณิชย์ (Vice President, Product Management and Commercial Operations) ของกลุ่มบริษัทเต็ดตรา แพ้ค กล่าวว่า "การลงนามร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ RE100 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยื่นอย่างต่อเนื่องของเรา โดยหนึ่งในนั้นคือ การลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก รวมถึงการหันมาใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทนในระบบการผลิตมากขึ้น
"เราได้ตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ว่า อัตราการปล่อยก๊าซต่างๆ จากโรงงานของเราทั้งหมดในปี 2020 จะต้องไม่มากไปกว่าจำนวนที่เคยปล่อยในปี 2010 และเรามีพัฒนาการอย่างดีเยี่ยม โดยในปี 2015 อัตราการปล่อยก๊าซจากระบบการผลิตทั่วโลกของเราลดลงถึง 15% เมื่อเทียบกับปี 2010 ในขณะที่กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 16%"
"เป้าหมายอันชัดเจนทำให้เราพยายามลดการใช้พลังงานในการผลิตโดยรวมมาตลอด และการหันมาใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทนถือเป็นก้าวต่อไปที่สำคัญ ดังนั้นการเข้าร่วม RE100 นอกจากจะเป็นการร่วมดูแลรักษาสภาพอากาศของโลกแล้ว ยังช่วยให้เราดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมจากการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ทั้งจากผู้เชี่ยวชาญและองค์กรอื่นๆทีมี่จุดมุ่งหมายเดียวกัน
RE100 เป็นการร่วมมือกันของภาคธุรกิจเอกชนระดับสากล ในการนำพลังงานไฟฟ้าทดแทน 100% มาใช้ในระบบการทำงานและการผลิต เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้ารวมของภาคเอกชนนั้นคิดเป็นประมาณเกือบครึ่งหนึ่งของปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดของโลก ดังนั้นหากกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจเอกชนชั้นนำของโลกหันมารวมตัวกันเพื่อใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทนแล้ว จะช่วยทำให้มีการสร้างวงจรการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่ง RE100 นำโดยเดอะไคลเมทกรุ๊ป ร่วมกับ ซีดีพี (CDP)
การตัดสินใจเข้าร่วม RE100 ของ เต็ดตรา แพ้ค นั้นเป็นการตอกย้ำถึงปณิธานที่จะมีส่วมร่วมในการช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน และการเข้าร่วมครั้งนี้เกิดขึ้นเพียง 6 เดือนหลังจากที่บริษัทฯ ได้เข้าร่วมปฏิญาณในงาน Paris Pledge for Action at COP21 ที่ประเทศฝรั่งเศส