กรุงเทพฯ--15 ธ.ค.--Syllable
พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมนโยบายท่องเที่ยวแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการสัมมนาและมอบนโยบายด้านการท่องเที่ยวแก่ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวเพื่อให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดและเป็นแนวทางเดียวกัน ณ โรงแรมแม่น้ำ รามาดา พลาซ่า กรุงเทพฯ ในวันที่ 15 ธันวาคม 2559 นี้ โดยจะเน้นย้ำ นโยบายของรัฐบาลในการจัดระเบียบด้านการท่องเที่ยวเพื่อแก้ไขปัญหาทัวร์ผิดกฎหมายอันส่งกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวและการทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการให้ปฏิบัติตนอย่างถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการใน 4 ด้าน ได้แก่ 1.สร้างความเสมอภาคในการเสียภาษี โดยทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการให้เข้าสู่ระบบการเสียภาษีที่ถูกต้อง 2.การส่งเสริมมาตรฐานการท่องเที่ยวให้แพร่หลายและผู้ประกอบการมีส่วนร่วมมากขึ้น 3.การรณรงค์ด้านจรรยาบรรณของผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ 4.การจัดหามาตรการสนับสนุนทางด้านการเงินหรือสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว
นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า "การจัดสัมมนาในครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่จะส่งเสริมผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวให้มีความรู้ความเข้าใจในการเสียภาษีและปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม มีการบริหารจัดการอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาล และภาครัฐจะได้บริหารจัดการและวางแผนการสนับสนุนได้อย่างเป็นรูปธรรมในโอกาสต่อไป" โดยได้สั่งการให้ กรมการท่องเที่ยวในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการกำกับดูแลผู้ประกอบการด้านธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ตามพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจนำเที่ยวให้ปฏิบัติอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หารือกับกรมสรรพากรให้จัดการสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว ทั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากกรมสรรพากรเป็นอย่างดี โดยนายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร จะมาเป็นผู้บรรยายและทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการชำระภาษีของผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวด้วยตนเอง และในช่วงบ่ายจะมีการแบ่งกลุ่มผู้ประกอบการตามกลุ่มธุรกิจเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 เป็นผู้ประกอบการที่นำคนต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย (Inbound) และตลาดไทยเที่ยวไทย (Domestic) จำนวน 200 คน ส่วนกลุ่มที่ 2 เป็นผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวที่นำคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศ (Outbound) จำนวน 100 คน