กรุงเทพฯ--19 ธ.ค.--แสนสิริ
บีทีเอส-แสนสิริ เผยความสำเร็จจากการร่วมมือกันพัฒนาคอนโดมิเนียมแนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชน โดยพัฒนาร่วมกันไปแล้วถึง 8 โครงการ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท ล่าสุดส่ง เดอะ ไลน์ 2 โครงการใหม่ "เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101" และ "เดอะ ไลน์ พหลฯ – ประดิพัทธ์" กวาดยอดขายรวมกันแล้วกว่า 4,000 ล้านบาท เชื่อมั่นจุดแข็งด้านผู้นำการพัฒนาที่อยู่อาศัยของแสนสิริผนึกศักยภาพของบีทีเอส กรุ๊ปฯ ส่งผลให้ประสบความสำเร็จในทุกโครงการต่อเนื่อง เดินหน้าต่อตามแผนธุรกิจ 5 ปี จับมือพัฒนาคอนโดมิเนียมในแนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชนภายใต้บริษัทร่วมทุนจำนวน 25 โครงการ มูลค่าโครงการรวมถึง 1 แสนล้านบาท พร้อมเผยโฉม "เดอะ ไลน์ สุขุมวิท71" แล้วเสร็จ 100% โครงการแรกภายใต้บริษัทร่วมทุนที่จะเริ่มรับรู้กำไร ล่าสุดมียอดโอนแล้วถึง 60% เผยมีชาวต่างชาติสนใจซื้อโครงการนี้เพื่อพักอาศัยจำนวนมากจนถึงเกือบเต็มโควต้าซื้อต่างชาติ
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ ประกาศความร่วมมือกับบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) โดยในช่วงระยะยาว 5 ปีมีแผนร่วมมือกันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในแนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชน ภายใต้บริษัทร่วมทุน ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นระหว่างกลุ่มบริษัทบีทีเอส และบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) 50 : 50 จำนวนทั้งสิ้นประมาณ 25 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1 แสนล้านบาท ล่าสุดด้วยความแข็งแกร่งในด้านเงินทุนของกลุ่มบริษัทบีทีเอสที่เตรียมพร้อมไว้เพื่อรองรับการลงทุนในการขยายธุรกิจรถไฟฟ้า และความพร้อมด้านบุคลากร รวมถึงการมีที่ดินที่พร้อมพัฒนาในมือของกลุ่มบริษัท ผสานกับความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของแสนสิริ ส่งผลให้ทั้งสองบริษัทพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมร่วมกันไปแล้วจำนวนรวมทั้งสิ้น 8 โครงการ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขาย 70% จากจำนวนรวมทั้งสิ้น 2,963 ยูนิต รวมมูลค่า 21,000 ล้านบาท ซึ่งเกือบทุกโครงการล้วนประสบความสำเร็จในการเปิดการขาย โดย 4 ใน 8 โครงการสามารถปิดการขาย (Sold Out) ลงอย่างรวดเร็วตั้งแต่วันเปิดพรีเซลล์ ในขณะที่อีก 4 โครงการที่เปิดตัวในปีนี้ก็มีการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเช่นกัน ด้วยยอดขายรวมกันแล้วกว่า 7,500 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในแบรนด์แสนสิริและบีทีเอส รวมทั้งดีมานด์ความต้องการคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่องทั้งจากลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ
ทั้งนี้ล่าสุด บีทีเอส กรุ๊ปฯ และ แสนสิริ ได้เปิดเผยโฉมโครงการคอนโดมิเนียมที่แล้วเสร็จ 100% เป็นโครงการแรกภายใต้ความร่วมมือของสองบริษัทที่จะเริ่มรับรู้กำไรในโครงการ "เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71" โดยโครงการนี้นับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการที่ 2 ที่เปิดการขายต่อเนื่องจากโครงการเดอะ ไลน์ จตุจักร – หมอชิต และสามารถปิดการขายได้ทันทีในวันพรีเซลล์ โดยประสบความสำเร็จทั้งจากยอดขายตลาดต่างชาติ ฮ่องกง – สิงคโปร์ – ไต้หวัน ซึ่งให้การตอบรับโครงการนี้ถึงเกือบเต็มโควต้าซื้อต่างชาติ รวมถึงลูกค้าชาวไทยที่ให้ความเชื่อมั่นและตอบรับอย่างดีตั้งแต่วันเปิดขายในช่วงต้นเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมาจนสามารถปิดการขายโครงการจำนวน 291 ยูนิต มูลค่า 2,000 ล้านบาทได้ทันที ปัจจุบันมียอดโอนแล้วถึง 60%
สำหรับคอนโดมิเนียมโครงการ เดอะ ไลน์ สุขุมวิท71" เป็นคอนโดมิเนียมแบบไฮไรซ์ Fully Furnished ภายใต้คอนเซ็ปต์ "Opportunity is Everything, Location is Everything" โอกาสทางธุรกิจและที่อยู่อาศัยในอนาคต ด้วยศักยภาพโครงการที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS พระโขนงเพียง 400 เมตร และเส้นทางต่างๆ ที่เชื่อมต่อโซนสำคัญได้รอบด้าน รวมทั้งยังเป็นแหล่งรวมไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ที่ใกล้ย่านเอกมัยและทองหล่อ ซึ่งปัจจุบันพร้อมโอนให้ลูกค้าเข้าพักอาศัยหรือลงทุนปล่อยเช่าโดยมียอดโอนแล้วถึง 60 % โดยหลังจากนี้ บีทีเอส กรุ๊ปฯ และแสนสิริจะเตรียมเปิดตัวโครงการ เดอะ ไลน์ จตุจักร – หมอชิต ซึ่งจ่อคิวแล้วเสร็จเป็นโครงการต่อไปในช่วงปลายปี 2560
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ความสำเร็จจากการร่วมทุนตามแผนความร่วมมือในระยะ 5 ปีที่แสนสิริและกลุ่มบริษัทบีทีเอส มีแผนพัฒนาคอนโดมิเนียมในแนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชนภายใต้บริษัทร่วมทุนได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ 2 องค์กรที่มีความพร้อมและเสริมสร้างความแข็งแกร่งซึ่งกันและกัน ส่งผลให้ประสบความสำเร็จจากการเปิดการขายคอนโดมิเนียมในเกือบทุกโครงการ ตั้งแต่ในปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ "เดอะ ไลน์" และแบรนด์อื่นๆ ที่เพิ่มเติมขึ้นมาเพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายยิ่งขึ้น โดยโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวไปแล้ว 8 โครงการ ได้แก่ 1. เดอะ ไลน์ จตุจักร-หมอชิต มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท 2. เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71 มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท 3. เดอะ ไลน์ ราชเทวี มูลค่า 2,900 ล้านบาท 4. เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา มูลค่าโครงการ 2,900 ล้านบาท 5. เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101 มูลค่าโครงการ 4,200 ล้านบาท 6. เดอะ ไลน์ พหลฯ-ประดิพัทธ์ มูลค่าโครงการ 5,800 ล้านบาท 7. เดอะ เบส การ์เดน-พระราม 9 มูลค่า 2,280 ล้านบาท และ 8.คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค มูลค่า 4,000 ล้านบาท
"นอกจากนี้ คอนโดมิเนียมภายใต้ความร่วมมือกับบีทีเอส กรุ๊ปฯ ทุกโครงการยังประสบความสำเร็จด้านยอดขายในตลาดต่างชาติ ซึ่งมาจากการที่ลูกค้าให้ความเชื่อมั่นในจุดแข็งด้านการเป็นผู้นำการพัฒนาที่อยู่อาศัยของแสนสิริ ผนึกศักยภาพของกลุ่มบริษัทบีทีเอส ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนซึ่งเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวฮ่องกงเป็นอย่างดี โดยการโรดโชว์ที่ฮ่องกงทุกโครงการ มีลูกค้าชาวฮ่องกงให้ความสนใจโครงการและเข้าร่วมงานโรดโชว์จำนวนมาก ส่วนหนึ่งมาจากความมีชื่อเสียงและการเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีของคุณคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มลูกค้าชาวฮ่องกงซึ่งให้ความไว้วางใจและเชื่อมั่นคุณคีรีเป็นอย่างมาก จนส่งผลให้สามารถสร้างยอดขายโครงการจากลูกค้าต่างชาติได้เป็นจำนวนมาก" นายเศรษฐา กล่าว
สำหรับในปีนี้แสนสิริ ตั้งเป้าหมายรายได้คอนโดมิเนียมในปี 2559 ไว้ที่ 20,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายรวมกับการที่บริษัทเริ่มมีรายได้จากการบริหารโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ทั้งนี้ล่าสุดบริษัทมีรายได้จากคอนโดมิเนียมแล้วประมาณ 15,000 ล้านบาท เติบโตจากการทยอยรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมที่ทยอยโอนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ The XXXIX' (เดอะ เทอร์ทีไนน์), ดีคอนโด รังสิต, ดีคอนโด แคมปัส รีสอร์ท บางแสน, บ้านปลายหาด วงอมาตย์ พัทยา, ดีคอนโด นิม เชียงใหม่ รวมถึงล่าสุดยังได้เตรียมโอนโครงการคอนโดมิเนียมเอดจ์ สุขุมวิท 23 (EDGE Sukhumvit 23) ในเดือนธันวาคมนี้ นอกจากนี้ปัจจุบันแสนสิริและบริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Presale backloq) ที่รองรับการรับรู้รายได้ในอีก 4 ปีข้างหน้าแล้วประมาณ 38,300 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายรอรับรู้รายได้ของแสนสิริ 17,600 ล้านบาท และยอดขายรอรับรู้รายได้ของบริษัทร่วมทุนกับบีทีเอสอีก 20,700 ล้านบาท
ล่าสุด แสนสิริและบีทีเอส ยังประสบความสำเร็จจากการเปิดขายเดอะ ไลน์ 2 โครงการใหม่ ได้แก่ "เดอะ ไลน์ พหลฯ – ประดิพัทธ์" ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าคนไทยสนใจซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และ"เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101" ที่สามารถสร้างยอดขายจากลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่และสนใจซื้อเพื่อลงทุน รวมทั้งสามารถสร้างยอดขายจากตลาดต่างชาติได้รวมกว่า 1,000 ล้านบาท หลังเปิด Global Launch พร้อมกันใน 6 ประเทศเอเชีย ได้แก่ ฮ่องกง-สิงคโปร์-ไต้หวัน-จีน-มาเลเซีย และไทย โดยทั้ง 2 โครงการมีดีมานด์สูงตั้งแต่ยังไม่ได้เปิดโครงการ เพราะอยู่ในทำเลเมือง ใกล้รถไฟฟ้าและความสำเร็จจากแนวคิดการอยู่อาศัยแบบ "Co-Living Space" ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในไทยกับคอนโดมิเนียมทำเลเมืองที่จัดเต็มพื้นที่ให้สามารถแบ่งปันความสุขร่วมกันในทุกพื้นที่ใช้สอย ส่งผลให้เปิดพรีเซลล์ 2 วัน สามารถสร้างยอดขายได้รวมกว่า 4,000 ล้านบาท