กรุงเทพฯ--20 ธ.ค.--สำนักวิจัย ซูเปอร์โพล
ดร.นพดล กรรณิกา ประธานชมรมขับเคลื่อนวิชาการเพื่อวิจัยความสุขชุมชน สำนักวิจัย ซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจ เรื่อง เสียงสะท้อนของประชาชนต่อ การปรับปรุงกฎหมายควบคุมยาสูบและการป้องกันปัญหายาเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชนหน้าใหม่ กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 5,019 ตัวอย่าง ระหว่าง วันที่ 10 พฤศจิกายน - 13 ธันวาคม ที่ผ่านมา พบว่า
ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.6 ระบุ กฎหมายบุหรี่ใช้มาแล้วยี่สิบห้าปีต้องได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยเพื่อรู้เท่าทันวิธีการของบริษัทบุหรี่และเพื่อป้องกันเด็กและเยาวชนหน้าใหม่ไม่ให้สูบบุหรี่ ในขณะที่ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.4 ระบุ งานวิจัยจากทั่วโลกชี้ชัดว่าการสูบบุหรี่นำไปสู่สิ่งเสพติดชนิดอื่น การปรับปรุง กฎหมายควบคุมยาสูบ จะช่วยป้องกันการติดยาเสพติดของเด็กและเยาวชนหน้าใหม่ และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 94.2 ระบุ ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องปรับปรุงกฎหมายให้ป้องกันและแก้ปัญหาการสูบบุหรี่ของคนไทยให้ได้ผลมากยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันการสูญเสีย
ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 77.5 ระบุ บริษัทบุหรี่ข้ามชาติ ทุ่มเทเงินจำนวนมากต่อต้านการปรับปรุงกฎหมายควบคุมยาสูบเป็นเพราะบริษัทบุหรี่ข้ามชาติต้องการปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทมากกว่า การดูแลสุขภาพของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ
ที่น่าสนใจคือ หลังจากแยกวิเคราะห์ประชาชนออกเป็นกลุ่ม ผู้สูบ และ กลุ่ม ผู้ไม่สูบ พบว่า ทั้งสองกลุ่มส่วนใหญ่คือ ร้อยละ 91.9 ของกลุ่มผู้สูบ และร้อยละ 96.7 ของกลุ่มผู้ไม่สูบ เห็นด้วยว่ากฎหมายบุหรี่ที่ใช้มาแล้วยี่สิบห้าปีต้องได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยเพื่อรู้เท่าทันวิธีการของบริษัทบุหรี่ และเพื่อป้องกันเด็กและเยาวชนหน้าใหม่ไม่ให้สูบบุหรี่
นอกจากนี้ ทั้งกลุ่มผู้สูบและ กลุ่มผู้ไม่สูบ ส่วนใหญ่คือ ร้อยละ 86.4 ของกลุ่มผู้สูบ และร้อยละ 94.1 ของกลุ่มผู้ไม่สูบ เห็นด้วยกับ งานวิจัยจากทั่วโลกชี้ชัดว่าการสูบบุหรี่นำไปสู่สิ่งเสพติพชนิดอื่น การปรับปรุงกฎหมายควบคุมยาสูบจะช่วยป้องกันการติดยาเสพติดของเด็กและเยาวชนหน้าใหม่ และเมื่อวิเคราะห์ช่วงเวลาที่รัฐบาลต้องปรับปรุงกฎหมาย พบว่า ส่วนใหญ่ของทั้งสองกลุ่มคือ ร้อยละ 88.3 ของกลุ่มผู้สูบ และ ร้อยละ 95.8 ของกลุ่มผู้ไม่สูบ เห็นด้วยว่า ถึงเวลาแล้ว ที่รัฐบาลต้องปรับปรุงกฎหมายให้ป้องกันและแก้ปัญหาการสูบบุหรี่ของคนไทยให้ได้ผลมากยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันการสูญเสีย
ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อแยกประชาชนออกเป็นกลุ่มเด็กและเยาวชน กับ กลุ่มผู้ใหญ่ในประเด็นสำคัญเรื่องบุหรี่ พบว่า ส่วนใหญ่ของทั้งสองกลุ่มคือ กลุ่มเด็กและเยาวชน กับ กลุ่มผู้ใหญ่ คือร้อยละ 93.9 และ 95.8 เห็นด้วยว่ากฎหมายบุหรี่ใช้มาแล้วยี่สิบห้าปี ต้องได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย เพื่อรู้เท่าทันวิธีการของบริษัทบุหรี่และเพื่อป้องกันเด็กและเยาวชนหน้าใหม่ไม่ให้สูบบุหรี่ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ของทั้งกลุ่มเด็กและเยาวชน กับ กลุ่มผู้ใหญ่ เห็นพ้องตรงกัน คือร้อยละ 91.9 กับ ร้อยละ 91.7 ระบุเห็นด้วยว่าถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องปรับปรุงกฎหมายให้ป้องกันและแก้ปัญหาการสูบบุหรี่ของคนไทยให้ได้ผลมากยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันการสูญเสีย