กรุงเทพฯ--22 ธ.ค.--แมสคอท คอมมิวนิเคชั่น
รพ.กรุงเทพเตรียมความพร้อม Trauma Day 7 วัน อันตราย ในเทศกาลปีใหม่ด้วยการให้ความรู้ ลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตในผู้ป่วยวิกฤตจากอุบัติเหตุ
ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง การใช้รถใช้ถนนมากมายอาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวหรือเทศกาลสำคัญต่างๆ ที่มีผู้คนสัญจรใช้รถใช้ถนนกันมากมาย จากสถิติที่ผ่านมาพบว่าอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของประเทศไทย เมื่อเหตุที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นแต่ละวินาทีที่ผ่านไปอาจหมายถึงชีวิตหรือความพิการ
โรงพยาบาลกรุงเทพ จึงจัดงาน Trauma Day ให้ความรู้ลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตในผู้ป่วยวิกฤตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน" พร้อมแนะวิธีการช่วยเหลือปฐมพยาบาลและเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอย่างถูกวิธี ช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตและลดความสูญเสียได้
นพ.เอกกิตติ์ สุรการ ผู้อำนวยการศูนย์อุบัติเหตุกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ ได้อธิบายว่า จากรายงานสถานะความปลอดภัยทางถนนโลก ประจำปี 2015 (Global Status Report on Road Safety 2015) โดยองค์การอนามัยโลก ได้ประมาณจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจร ในปี 2013 ที่ 24,237 คน นอกจากประเทศไทยจะถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจร สูงเป็นอันดับที่สองของโลกแล้ว ประเทศไทยยังถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีอันตรายสูงที่สุดในโลกสำหรับรถจักรยานยนต์ โดยมีอัตราการเสียชีวิตต่อประชากรแสนคนอยู่ที่ 26.3 คน โดยประเทศสาธารณรัฐโดมินิกัน เป็นอันดับที่ 2 ที่ 18.5 ในขณะที่อันดับที่ 2, 3 และ 4 ในกลุ่มอาเซียน ได้แก่ประเทศมาเลเซีย 14.9 กัมพูชาเป็น 12.3 และลาว 9.6 ตามลำดับ จากข้อมูลชี้ให้เห็นว่าผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ในประเทศไทยมีความเสี่ยงมากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งสถิติผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลกรุงเทพ มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกปี โดยแต่ละเคสจะมีความซับซ้อนของการบาดเจ็บในหลายอวัยวะ ต้องใช้ทีมแพทย์สหสาขาในการรักษา การเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้งไม่ว่าจะเกิดจาก จักรยานยนต์ หรือรถยนต์ การช่วยเหลือความแตกต่างกัน ในเบื้องต้นผู้พบเห็นควรประเมินความปลอดภัยของ สถานที่เกิดเหตุว่าอาจเกิดอุบัติเหตุซ้ำได้หรือไม่ และสังเกตอาการของผู้บาดเจ็บมีความรุนแรงเพียงใด เพราะหากอาการรุนแรงมาก การเข้าไปช่วยเหลือ หรือเข้าไปเคลื่อนย้ายร่างกายผู้บาดเจ็บในทันทีอาจทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น ควรติดต่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัยหรือโรงพยาบาลใกล้เคียงโดยเร็วที่สุด
ด้าน พญ. สมจินตนา เอี่ยมสรรพางค์ ผู้อำนวยการแผนกฉุกเฉิน โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวเสริมว่า การดูแลผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุต้องประเมินสถานการณ์ ร่วมกับประเมินการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้น เพื่อวางแผนการเคลื่อนย้ายและดูแลได้อย่างปลอดภัยตามมาตรฐานการดูแลผู้บาดเจ็บ Prehospital Trauma Life Support (PHTLS) ก่อนนำส่งยังสถานพยาบาลที่มีความพร้อมอย่างรวดเร็ว ช่วยลดอัตราการเสียชีวิต และความพิการ โรงพยาบาลกรุงเทพมีความพร้อมด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางและทีมสหสาขาวิชาชีพพร้อมให้การดูแลอย่างต่อเนื่อง สามารถให้การดูแลรักษาผู้บาดเจ็บที่ซับซ้อน รุนแรง หรือมีการบาดเจ็บในหลายอวัยวะ เช่น สมอง กระดูก และอวัยวะภายในช่องอก ช่องท้อง รวมถึงภาวะแทรกซ้อนจากสาเหตุอื่นๆ โดยศูนย์อุบัติเหตุกรุงเทพ (Bangkok Trauma Center) เป็นศูนย์กลางในการประสานงาน และอำนวยความสะดวกในการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ รวมทั้งการรับ-ส่งต่อผู้ป่วยทั้งทางบก และทางอากาศ พร้อมรับแจ้งเหตุตลอด 24 ชั่วโมง ที่เบอร์โทร 1724 หรือ 1719 สิ่งสำคัญในการเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บคือ ความปลอดภัย รถพยาบาลฉุกเฉินทุกคันจึงมีแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน พร้อมด้วยอุปกรณ์ตามมาตรฐานการช่วยชีวิตขั้นสูง อาทิ เครื่องติดตามสัญญาณชีพ และเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ, เครื่องช่วยหายใจ, เครื่องควบคุมการให้ยา และสารน้ำ, เครื่องดูดเสมหะสำหรับดูแลผู้ป่วย เป็นต้น เพื่อดูแลผู้ป่วยในระหว่างการเคลื่อนย้ายจนถึงโรงพยาบาล
และ นพ.ยอดรัก ประเสริฐ ศัลยแพทย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุแล้วได้รับบาดเจ็บทางสมอง เช่น หกล้มหรือตกจากที่สูง หรืออุบัติเหตุบนท้องถนน การขับขี่จักรยานยนต์โดยไม่สวมหมวกนิรภัย ในกรณีที่ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ผู้ที่พบเจอจะต้องสังเกตดูว่าผู้ป่วยหมดสติหรือไม่ และยังสามารถตอบโต้พูดคุยได้เป็นปกติหรือไม่ โดยปกติอาการบาดเจ็บที่มีต่อสมองอาจเกิดขึ้นได้ทันทีทันใด หรือมักเกิดปัญหาขึ้นภายใน 24 ถึง 72 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ อาการที่เกิดขึ้นภายหลังจาก 72 ชั่วโมงไปแล้ว ก็อาจเกิดขึ้นได้แต่พบได้น้อย ส่วนมากพบในผู้สูงอายุ อาการที่สามารถพบได้หลังเกิดอุบัติเหตุคือ ผู้ป่วยอาจหมดสติทันที หรือมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง ระดับความรู้สึกตัวน้อยลง ซึมหรือหลับมาก ตาพร่ามัว มองเห็นภาพไม่ชัด แขนขาอ่อนแรง และเมื่อพบอาการเหล่านี้ควรพาผู้ป่วยไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการบาดเจ็บและรักษาได้อย่างทันท่วงที เพราะเมื่อมีการบาดเจ็บของศีรษะและสมองเกิดขึ้น อาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติในหลายๆด้าน อาทิ ความรู้ ระดับสติปัญญา ความเข้าใจ พฤติกรรม การรับความรู้สึก และการเคลื่อนไหว ซึ่งผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะอาจจะมีความผิดปกติ หรือบกพร่องในด้านต่างๆเหล่านี้ อาจมีการสูญเสียความทรงจำระยะสั้นในบางกรณีเมื่อศีรษะได้รับบาดเจ็บรุนแรงและเป็นผลมาจากการที่เซลล์สมองและระบบประสาทได้รับการกระทบกระเทือน การรักษาขึ้นกับระดับความรุนแรงของการบาดเจ็บ ตั้งแต่การเฝ้าสังเกตอาการทางสมองของผู้ป่วย จนถึงการผ่าตัดในรายที่มีเลือดออกในสมองหรือมีภาวะสมองบวม
อาการผิดปกติของผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะที่ควรมาพบแพทย์โดยด่วนได้แก่ ผู้ป่วยที่มีอาการหมดสติหลังเกิดการบาดเจ็บที่ศีรษะ ผู้ป่วยที่มีอาการชัก เกร็ง หรือ กระตุก หรือผู้ป่วยมีอาการเพ้อ โวยวาย หรือกระสับกระส่าย ผู้ป่วยมีอาการซึม หรือระดับความรู้ตัวลดลง ผู้ป่วยที่มีอาการปวดศรีษะอย่างรุนแรง กินยาแก้ปวดก็ไม่ดีขึ้น หรือมีอาการอาเจียนติดต่อกันหลายครั้ง มีอาการแขนขาอ่อนแรงหรือมีแรงไม่เท่ากัน มีน้ำใสๆ หรือเลือดไหลออกจากจมูกหรือหู มีอาการตาลาย มองภาพไม่ชัด แพทย์จะส่งตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองเพื่อตรวจดูความผิดปกติของสมองและกระโหลกศีรษะ หากมีเลือดออกในสมองหรือมีภาวะสมองบวมแพทย์อาจต้องทำการผ่าตัดสมองเพื่อลดแรงดันในสมองจากการกดทับเนื้อสมองเพื่อป้องกันอันตรายต่อผู้ป่วยที่จะทำให้เสียชีวิตหรือพิการตลอดชีวิต นอกจากนั้น ผู้ป่วยอาจมีการรักษาอื่นๆต่อโรคที่เกิดร่วม เช่น บาดเจ็บของอวัยวะอื่นๆ และเฝ้าระวังโรคแทรกซ้อนที่จะอาจเกิดขึ้น ได้แก่ การติดเชื้อในระบบประสาท น้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังรั่ว โพรงสมองโต หรือเส้นโลหิตแดงในสมองโป่งพอง หรือเกิดความผิดปกติของเส้นเลือด ฯลฯ ผู้ป่วยจำเป็นต้องรับการรักษาทางยาและกายภาพบำบัด เพื่อให้ผู้ป่วยคืนกลับสู่สภาพปกติได้มากที่สุดในระยะเวลาอันรวดเร็ว ในผู้ป่วยที่แพทย์ลงความเห็นว่าเป็นการบาดเจ็บที่ศีรษะในระดับไม่รุนแรง ภายหลังได้รับการรักษาเบื้องต้น และแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ มีความจำเป็นต้องได้รับการเฝ้าสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิดอีกอย่างน้อย 1-2 วัน (อาจจำเป็นต้องเฝ้าดูอาการนานขึ้นในผู้สูงอายุ บางรายอาจเกิดอาการได้หลายสัปดาห์หลังเกิดอุบัติเหตุ) และหากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น สมควรที่ต้องกลับมาพบแพทย์โดยเร็ว
ในช่วง 7 วันระวังอันตรายนี้อาจเกิดอุบัติเหตุที่คุณเองคาดไม่ถึง ศูนย์อุบัติเหตุกรุงเทพพร้อมให้การดูแลอย่างเต็มที่ เพื่อความไว้วางใจ และความปลอดภัยของทุกชีวิต โรงพยาบาลกรุงเทพมีบริการส่งต่อผู้ป่วยทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อการดูแลผู้ป่วยได้ทันท่วงที โดยมีรถพยาบาลฉุกเฉิน(Ambulance), หออภิบาลผู้ป่วยเคลื่อนที่ (Mobile ICU), รถมอเตอร์ไซค์ฉุกเฉิน (Motorlance) รวมทั้ง เรือฉุกเฉิน (Hydrolance) เฮลิคอปเตอร์การแพทย์ฉุกเฉิน(Sky ICU) และการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยเครื่องบินทั้งภายในและต่างประเทศ พร้อมบริการให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และความรุนแรงเร่งด่วนของการบาดเจ็บ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่สายด่วน Bangkok Emergency Services (BES) โทร. 1724