กรุงเทพฯ--23 ธ.ค.--มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุ
อุตสาหกรรมอาหารเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคมของไทยมีการส่งออกทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นกลุ่มประเทศอาเซียน ญี่ปุ่น จีน แอฟริกา สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ผลิตภัณฑ์สินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยส่วนใหญ่ ได้แก่ ข้าว น้ำตาลทราย ผลิตภัณฑ์ไก่สดและแปรรูป และปลาทูกระป๋อง ซึ่งยังคงเป็นสินค้าวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์แปรรูปอย่างง่าย ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบไม่มากนัก
แต่ปัจจุบันกระแสและแนวโน้มความต้องการของตลาด Functional Food ของโลก ทำให้ประเทศไทยต้องตื่นตัวและเตรียมความพร้อมทั้งในด้านองค์ความรู้และบุคลากรในอุตสาหกรรมอาหาร รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้พร้อมต่อการพัฒนาและแข่งขันในตลาดโลก ผศ.ดร.ชัยรัตน์ ตั้งดวงดี กล่าวว่าในฐานะหัวหน้าโครงการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการในเรื่องแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรม Functional Food ในประเทศไทยสำหรับการส่งออก ภายใต้โครงการ Food Innopolis Academy 2016 ว่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) และสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย (FoSTAT) จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการดังกล่าวขึ้น เพื่อสร้างความเข้มแข็งและยกระดับความสามารถในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมอาหารไทย และสร้างเครือข่ายการวิจัยและพัฒนาธุรกิจ Functional Food ของไทยออกสู่อุตสาหกรรมโลก
"อุตสาหกรรมอาหารไทยผลิตอาหารได้ประมาณ 30 ล้านตันต่อปี ติดอันดับ 1 ใน 20 ของโลก มีการผลิตอาหารแปรรูปและส่งออกปีละประมาณ 8-9 แสนล้านบาท และคาดการณ์ว่าในปี 2560 จะสูงกว่า 1 ล้านล้านบาท แต่สินค้าที่ไทยส่งออกยังไม่ใช่สินค้าที่มีมูลค่าสูง สินค้าบางตัวเราผลิตมากขึ้นแต่มูลค่าลดลง ประกอบกับเราเสียเปรียบในเรื่องค่าจ้างแรงงานที่สูงกว่ากัมพูชา ลาว เวียดนาม และเมียนมาร์ อีกทั้งยังมีเรื่องของภาษีนำเข้าในบางประเทศแถบยุโรปเพราะธนาคารโลกได้พิจารณาว่าไทยได้เข้าสู่ประเทศที่มีรายได้ปานกลางติดต่อกัน 3 ปีซ้อนนับตั้งแต่ปี 2555-2557 และตัดสิทธิ์ด้านภาษีนำเข้าเมื่อต้นปี 2558 ทำให้สินค้าเรามีราคาสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น หากเราไม่ทำอะไรเลยก็จะเสียเปรียบ มูลค่าทางการตลาดจะตกลง จำนวนเงินที่เข้าประเทศก็จะน้อยลง GDPของประเทศก็จะลดต่ำลงด้วย ดังนั้น Functional food หรืออาหารที่มีการเติมสารอาหารที่มีประโยชน์เชิงหน้าที่เข้าไปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้านั้นจึงเป็นทางเลือกที่จะทำให้ประเทศไทยที่มีวัตถุดิบที่มีมูลค่าหลายอย่างแข็งแกร่งในตลาดอุตสาหกรรมอาหารโลกได้"
ผศ.ดร.ชัยรัตน์ กล่าวทิ้งท้ายเกี่ยวกับการจัด Workshop ครั้งนี้ว่า จากการที่ มจธ. ได้เริ่มต้นในระยะแรกพบว่าอุปสรรคส่วนหนึ่งในการเพิ่มมูลค่าให้อุตสาหกรรมอาหารไทย และ Functional Foods ข้อแรกคือ อาจารย์ นักวิจัยต่างมีงานค้นคว้าวิจัยที่ดี แต่ต่างก็ศึกษาอยู่ในห้องปฏิบัติการของตนเอง ไม่มีการขยายขนาดและทดสอบทางคลินิกเพื่อนำไปสู่การผลิตเชิงการค้า ประการที่สอง ประเทศไทยยังขาดความเชื่อมโยงที่จะบูรณาการความรู้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำออกมาใช้ให้เกิดผล ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมโยงให้เกิดความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและหน่วยงานต่างๆ ตั้งแต่ขั้นตอนของการส่งเสริมการปลูกวัตถุดิบในภาคเกษตร การวิจัย การใช้เทคโนโลยี การทดสอบ ความรู้ความเข้าใจของผู้บริโภค กฎระเบียบข้อบังคับ และการตลาด ประเทศไทยมีวัตถุดิบจำนวนมากแต่ยังขาดคนที่จะรวบรวมและวิเคราะห์และใช้ศักยภาพเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดังนั้นการจัด Workshop ดังกล่าวจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการรวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากทั่วประเทศที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมอาหารทั้งภาคเอกชน ภาครัฐและภาคการศึกษา มาร่วมระดมสมองเพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาและพัฒนาให้อุตสาหกรรม Functional Food ของไทยอยู่ในตลาดโลกได้อย่างเข้มแข็ง.