กรุงเทพฯ--26 ธ.ค.--ซีเอ็มโอ
"ซีเอ็มโอ" คว้างานใหญ่ส่งท้ายปี ได้รับงานสร้างอาคารและจัดแสดงนิทรรศการ "เย็นศิระเพราะพระบริบาล" เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งกำหนดเปิดให้เข้าชมหลัง 30 ธ.ค นี้ ที่ท้องสนามหลวง ด้านผู้บริหาร ประกาศลุยธุรกิจสร้างแหล่งท่องเที่ยว เสริมรายได้ รักษาจุดยืนผู้นำอีเว้นท์แห่งอาเซียน พร้อมชี้ ภาพรวมตลาดอีเว้นท์ปี 60 กลับมาคึกคัก หวั่นการแข่งขันสูง แนะผู้ประกอบการอีเว้นท์ต้องเน้นคุณภาพและการบริการที่ดี
นายเสริมคุณ คุณาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO ผู้นำธุรกิจสื่อสารการตลาดแบบครบวงจรแห่งอาเซียน ครอบคลุมธุรกิจด้านอีเว้นท์,ด้านเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ และธุรกิจไลฟ์สไตล์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาพรวมธุรกิจอีเว้นท์ รวมถึงงานประเภทการจัดประชุมสัมมนา และงานเอ็กซ์โปต่างๆ เริ่มกระเตื้องขึ้น โดยคาดว่าจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้ในช่วงต้นปี 60ซึ่งเห็นได้จากที่ภาครัฐออกมาตราการ "ช้อปช่วยชาติ" ที่สามารถนำรายจ่ายมาลดหย่อนภาษีได้นั้น ก็เป็นการกระตุ้นกำลังซื้อให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ส่งผลให้ ผู้ประกอบการภาคเอกชนในแต่ละค่ายต่างออกแคมเปญ และเริ่มจัดกิจกรรมเพิ่มมากขึ้นด้วย ในส่วนของ CMOก็ได้ปรับแผน เพื่อฟื้นฟูธุรกิจ โดยบริษัทฯ เร่งดำเนินงานของลูกค้าเดิมที่ได้รับงานแล้ว บวกกับเดินหน้าหาลูกค้าใหม่
ล่าสุด บริษัทฯ ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล โดยสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) จ้างให้เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างอาคารพร้อมจัดแสดงนิทรรศการ "เย็นศิระเพราะพระบริบาล" ที่ท้องสนามหลวง บนพื้นที่ 1,000 ตร.ม. โดยนิทรรศการจัดขึ้น เพื่อเทิดพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวไทย และเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชอย่างหาที่สุดมิได้
"นับเป็นความภาคภูมิใจ และเป็นเกียรติสูงสุดของบริษัทฯ ที่ได้มีโอกาสทำงานในครั้งนี้ ซึ่งทีมงานน้อมนำคำสอนเรื่องความพอเพียง มาเป็นต้นแบบในด้านการออกแบบและบริหารโครงการ โดยจะสร้างเป็นอาคารประหยัดพลังงาน ใช้พลังงานต่ำ และใช้วัสดุกันความร้อน เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในอาคารนิทรรศการ ตลอดจนงานดีไซน์ต่างๆ จะเน้นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้วัสดุที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้อีก อาทิ โครงหลังคา และผนังเอ็กซิบิชั่น(Exhibition) รวมถึงการใช้หลอดไฟประหยัดพลังงานอีกด้วย ทั้งนี้ในส่วนของการแสดงนิทรรศการในแต่ละโซน จะนำเสนอเนื้อหาสมบูรณ์ครบถ้วน ผสมผสานกับสื่อมัลติมีเดียต่างๆ อาทิ การใช้เทคโนโลยีInteractive ,การทำ The Theatre ห้องฉายหนังวีดีโอ เป็นต้น การทำงานในครั้งนี้ เป็นการรวมพลังครั้งสำคัญของกลุ่มบริษัทซีเอ็มโอ และพันธมิตร ด้วยเวลาเพียงไม่กี่วัน ในการทำงานที่ต้องแล้วเสร็จ พร้อมเปิดให้เข้าชมได้ภายในสิ้นเดือนธันวาคม นับเป็นความท้าทายอย่างยิ่งของบริษัทฯ" นายเสริมคุณ กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CMO กล่าวอีกว่า นอกจากโปรเจกต์ใหญ่ส่งท้ายปีดังกล่าวแล้ว บริษัทฯ ยังมีงานพัฒนาธุรกิจสร้างแหล่งท่องเที่ยว (Tourist Attraction) ที่เริ่มชัดเจนมากขึ้น โดยเตรียมเปิดตัวโชว์ "หิมพานต์ อวตาร" อย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม ปี 60 ซึ่งเป็นโชว์การแสดงศิลปะวัฒนธรรมไทยร่วมสมัย ผสานเทคโนโลยีในรูปแบบ 4 มิติ ที่สำคัญยังนำเสนอปรากฏการณ์ใหม่ล่าสุดที่เรียกว่า The Spectacular Walk Through 4D Experience ครั้งแรกของไทยและอาเซียนตั้งอยู่ที่ศูนย์การค้าโชว์ ดีซี (Show DC) ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะทำรายได้ 200 ล้านบาทต่อปี
ขณะเดียวกันในส่วนของธุรกิจสวนสนุก "อิเมจิเนีย เพลย์แลนด์" (Imaginia Playland) บริษัทได้ขยายงานไปยังต่างประเทศเป็นครั้งแรก โดยได้ทำสัญญาสร้าง Imaginia Zone ให้กับ Little Prince Kids Theme Park สวนสนุกในเมืองต้าเหลียน ประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพและการเติบโตสูง โดยที่ Imaginia Zone จะเป็นห้องหนึ่ง ขนาดพื้นที่ 220 ตร.ม. อยู่ในสวนสนุก Little Prince Kids Theme Park ที่มีรูปแบบการดีไซน์เครื่องเล่น และเทคนิคที่ใช้งานเหมือนกับสวนสนุก Imaginia ประเทศไทยทุกประการ นับเป็นก้าวสำคัญของอิเมจิเนีย ในการขยายงานไปยังต่างประเทศ โดยบริษัทฯ จะนำแนวคิดในลักษณะนี้ ขยายไปยังประเทศอื่นๆ อย่างต่อเนื่องภายใน 5 ปี ข้างหน้า อีกด้วย
ทั้งนี้ ผลประกอบการ 9 เดือน (มกราคม-กันยายน 59) บริษัทฯ มีรายได้รวม 800 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาสสุดท้ายของปี ก็มียอดขายที่น่าพอใจโดยพยายามจะรักษาเป้าปีนี้ให้ใกล้เคียงกับที่ตั้งไว้ 1,400 ล้านบาท
สำหรับทิศทางธุรกิจอีเว้นท์ ปี 2560 มีแนวโน้มเติบโตไปในทางที่ดี โดยเชื่อว่า ผู้ประกอบการภาคเอกชน จะเริ่มกลับมาจัดกิจกรรมการตลาดเพิ่มขึ้น เพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยเฉพาะในกลุ่มงาน Entertainment เช่น งานคอนเสิร์ต และโชว์ต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นงานที่ไม่ได้ยกเลิก แต่จะเลื่อนไปจัดในช่วงเดือน มี.ค. - เม.ย.ปี 60 แทน
นอกจากนี้ ทิศทางการเติบโตของธุรกิจอีเว้นท์ไทย จะเข้าไปมีบทบาทมากขึ้น ในตลาด CLMV (กัมพูชา,ลาว,เมียนมาร์ และเวียดนาม) ซึ่งจะรุกตลาดไปพร้อมกับแบรนด์ของไทยที่มีแผนจะขยายงานในต่างประเทศ ทำให้ต้องมีการจัดกิจกรรมการตลาด ส่งผลให้ภาพรวมอีเว้นท์เติบโตไปด้วย
"ในปี 60 ผู้ประกอบการธุรกิจอีเว้นท์ จะต้องพบปัญหาการแข่งขันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งการแข่งขันกับบริษัทอีเว้นท์ภายในประเทศ และกับบริษัทอีเว้นท์ต่างชาติ เช่น ประเทศสิงค์โปร์ เป็นต้น ที่จะเข้ามาแข่งขันในประเทศไทย ดังนั้น ในส่วนของแนวทางการปรับตัว บริษัทอีเว้นท์ไทยจะต้องเน้นเรื่องของคุณภาพ และการให้บริการที่ดีเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต้องมีการจัดการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพด้วย" นายเสริมคุณ กล่าวทิ้งท้าย