กรุงเทพฯ--26 ธ.ค.--เมคอะเว็ลท์ คอนซัลติ้ง
บล.ทรีนีตี้ แนะนำกลยุทธ์แนวทางรอด รับมือตลาดหุ้นไทยปี 2560 มีแนวโน้มแกว่งตัวขาลงออกด้านข้างในกรอบดัชนี 1,350-1,620 จุด และสภาพคล่องทั่วโลกที่มีแนวโน้มลดลง ให้คำแนะนำ "รอจังหวะให้ดัชนีปรับฐาน ก่อนเข้าสะสมหุ้น" มองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ 5อุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี กลุ่มธุรกิจการเกษตร กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงคำแนะนำและกลยุทธ์การลงทุนสำหรับปี 2560 ว่า ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทย และดัชนีหุ้นไทย (SET Index) จะเคลื่อนไหวออกด้านข้างในกรอบดัชนี 1,350-1,620 จุด โดยมีความเสี่ยงในกรอบทางลงมากกว่าทางขึ้น ซึ่งมองแนวทางการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับปี 2560 โดยอ้างอิงปัจจัยการลงทุนกว่า 7 แนวทาง ดังต่อไปนี้ แนวทางแรก คาดการณ์การปรับตัวที่ดีของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตามแรงกดดันเงินเฟ้อทั่วโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น มองว่าราคาโภคภัณฑ์จะสามารถปรับขึ้นได้ถึงแม้เงินดอลลาร์สหรัฐฯจะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นก็ตาม ดังนั้นแนะนำให้เพิ่มน้ำหนัก (Overweight) การลงทุนในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งกลุ่มพลังงาน โลหะอุตสาหกรรม และสินค้าเกษตร
แนวทางถัดมา มองแนวโน้มธนาคารกลางทั่วโลกกำลังเริ่มเข้าสู่กระบวนการถอดถอนสภาพคล่องออกจากระบบ นำโดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) และการลดวงเงินโครงการผ่อนคลายทางการเงิน (QE) ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เป็นต้น จากผลกระทบดังกล่าวคาดว่าในช่วงถัดไปสกุลเงินของประเทศพัฒนาแล้วมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินของประเทศกำลังพัฒนา แนวทางที่สาม มองปัจจัยเสี่ยงทางด้านการเมืองในยุโรป อาทิ กระบวนการการออกจากกลุ่มยูโรโซนของอังกฤษ (Brexit) และความเป็นไปได้ในการออกจากกลุ่มยูโรโซนของประเทศอื่นๆที่อาจตามมา ไม่นับรวมเหตุการณ์ก่อการร้ายที่อาจเกิดขึ้น จึงเพิ่มคำแนะนำกลยุทธ์ "ถือ" ตราสารจำพวกที่มีความปลอดภัยสูง (Safe Haven) อาทิ ทองคำ เป็นต้น
แนวทางที่สี่ คาดการณ์ระดับอุปสงค์และอุปทานของน้ำมันดิบจะปรับตัวเข้าสู่สมดุลมากขึ้น รวมถึงท่าทีของกลุ่ม OPEC และกลุ่ม Non-OPEC ที่หันหน้าเข้าหากันมากขึ้น น่าจะทำให้ค่าเฉลี่ยของราคาน้ำมันดิบในปี 2560 อยู่สูงกว่าปีที่ผ่านมา ถือเป็นปัจจัยสนับสนุนกลุ่มหุ้นพลังงาน ให้มีความน่าสนใจมากกว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มค้าปลีกสำหรับกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ แนวทางต่อมา คาดว่านักลงทุนในประเทศจะเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมหลักในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติน่าจะมีบทบาทที่ลดลงตามแนวโน้มการไหลกลับของกระแสทุนสู่ประเทศพัฒนาแล้ว ดังนั้นคาดว่าหุ้นขนาดกลาง-ขนาดเล็ก (Non SET50) จะปรับตัวได้ดีกว่า (Outperform) หุ้นขนาดใหญ่เป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน
แนวทางที่หก ในภาวะที่มีการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั่วโลก (Bond yield) คาดว่าตลาดหุ้นไทยอาจเผชิญกับปรากฏการณ์การหดตัวของอัตราส่วน PE ที่เหมาะสม (PE Contraction) ด้วยเหตุดังกล่าวจะเป็นปัจจัยกดดันการปรับตัวขึ้น (Upside) ของดัชนีที่สำคัญ ทั้งนี้ในภาวะ Bond yield ขาขึ้นนี้ มองว่าจะมีผลกระทบโดยตรงกับกลุ่มหุ้นปันผล และหุ้นที่ซื้อขายที่ระดับPE สูง แต่ไม่มีอัตราการเติบโตของกำไรรองรับ และในแนวทางสุดท้าย ภาวะเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงขาลงสูงขึ้น จากการชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยวที่กินเวลานานกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ การค้าขายระหว่างประเทศที่มีความเสี่ยงมากขึ้นจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในยุคสมัยของนายโดนัลด์ ทรัมป์ และการบริโภคภาคเอกชนที่อาจชะลอตัว เพราะมีการดึงอุปสงค์มาใช้ในช่วงปลายปี 2559ตามการออกมาตรการลดหย่อนภาษีของภาครัฐแล้ว ขณะที่การลงทุนภาครัฐจะยังคงเป็นภาคเศรษฐกิจที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจของไทยเช่นเดิม
นายณัฐชาต กล่าวว่า ให้กลยุทธ์การลงทุนในภาวะที่ SET Index มีความเสี่ยงในกรอบทางลงมากกว่าทางขึ้น และสภาพคล่องทั่วโลกที่มีแนวโน้มลดลง โดยแนะนำให้นักลงทุนพยายามรอจังหวะให้ดัชนีมีการปรับฐาน ก่อนที่จะเข้าสะสมหุ้น มองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจในปี 2560 ได้แก่ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ได้แก่ PTT, IVL กลุ่มธุรกิจการเกษตร ได้แก่ BRR, STA กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ได้แก่CPF, TU กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ SMT, SVI และกลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง ได้แก่ CK, SEAFCO