กรุงเทพฯ--29 ธ.ค.--ไอทูซี คอมมิวนิเคชั่นส์
กลุ่ม KTIS มั่นใจสายธุรกิจเอทานอลไตรมาส 4 ปี 59 สดใส ชี้ปกติช่วงปลายปีมีปริมาณความต้องการสูงกว่าไตรมาสอื่น เผยช่วง 9เดือนแรกปริมาณการขายสูงกว่าปีก่อนกว่า 10% คาดทั้งปีมียอดจำหน่ายมากกว่า 70 ล้านลิตร ประกอบกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นช่วยให้ผลการดำเนินงานดีขึ้น ย้ำจุดแข็งลูกค้าเชื่อมั่นที่ส่งมอบได้ครบถ้วนตรงเวลามาตลอด ด้วยการบริหารวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะกลุ่ม KTIS มีโรงงานน้ำตาลที่มีกำลังการผลิตต่อวันสูงที่สุดในโลก จึงมีโมลาสป้อนเข้าโรงงานเอทานอลได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี
นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เปิดเผยว่า ในปีนี้ความต้องการใช้เอทานอลในประเทศอยู่ในระดับสูงกว่าปีก่อนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณการจำหน่ายเอทานอลของบริษัทใน 9 เดือนแรกของปีนี้เติบโตขึ้นจากปีก่อนกว่า 10% โดยคาดว่าตลอดทั้งปีจะมีปริมาณการจำหน่ายเอทานอลสูงกว่า 70 ล้านลิตร ซึ่งในรอบ 9 เดือน จำหน่ายไปแล้วประมาณ 54.60 ล้านลิตร มีรายได้ประมาณ 1,212 ล้านบาท
"ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของทุกปี เป็นช่วงที่ความต้องการใช้เอทานอลสูงกว่าไตรมาสอื่นๆ ซึ่งในปีนี้ก็เช่นกัน เอทานอลที่เราผลิตด้วยกำลังการผลิต 230,000 ลิตรต่อวัน จึงขายในประเทศทั้งหมด ประกอบกับราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นส่งผลให้ราคาเอทานอลสูงขึ้นด้วย ดังนั้น จึงเชื่อว่าไตรมาสนี้ สายธุรกิจเอทานอลของ KTIS จะเป็นสายธุรกิจหนึ่งที่ทำผลการดำเนินงานได้ดี" นายณัฎฐปัญญ์ กล่าว
ทั้งนี้ สายธุรกิจเอทานอลของกลุ่ม KTIS ดำเนินการภายใต้ บริษัท เอกรัฐพัฒนา จำกัด (ถือหุ้นโดย KTIS 100%) ซึ่งนับว่าเป็นโรงผลิตเอทานอลที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งในประเทศไทย และได้รับการยอมรับจากลูกค้าที่เป็นบริษัทปิโตรเลียมรายใหญ่ของประเทศในเรื่องของการส่งมอบสินค้าได้ครบถ้วนตามเวลาที่กำหนด ไม่เคยขาดตกบกพร่อง เพราะสามารถบริหารวัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากกลุ่ม KTIS มีโรงงานน้ำตาลเกษตรไทยที่มีกำลังการผลิตต่อวันสูงที่สุดในโลก จึงมีโมลาสเพียงพอที่จะป้อนเข้าสู่โรงงานได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี
รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS กล่าวด้วยว่า จากการไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม KTIS จึงได้มีการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตพลอยได้ (By products) จากเอทานอล ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้ เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยให้ได้ใช้สารปรับปรุงดินคุณภาพดี ในราคาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้ได้อ้อยคุณภาพดี เพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ ลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมี เป็นประโยชน์ทั้งกับชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาล