กรุงเทพฯ--6 ม.ค.--ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรทีจีส์
ฟอร์ดยืนยันการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลกรุ่นใหม่จำนวน 7 รุ่นจาก 13 รุ่นภายใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งรวมถึงรถฟอร์ด F-150ไฮบริด, ฟอร์ด มัสแตง ไฮบริด, และฟอร์ด ทรานซิท คัสตอม ปลั๊กอิน ไฮบริด
ฟอร์ดเตรียมเปิดตัวรถเอสยูวีไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ที่จะสามารถวิ่งได้อย่างน้อย 300 ไมล์ สำหรับจำหน่ายในทั้งในทวีปเอเชีย อเมริกาเหนือ และยุโรป
ฟอร์ดลงทุน 700 ล้านเหรียญสหรัฐ และเพิ่มงานกว่า 700 งาน ให้กับโรงงานประกอบรถยนต์ที่แฟลตร็อค รัฐมิชิแกน เพื่อให้สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติสุดไฮเทค รวมถึงรถฟอร์ด มัสแตง และรถลินคอล์น คอนติเนนทัล อันโด่งดัง
ฟอร์ดริเริ่มการใช้เทคโนโลยีแบบไร้สายที่ช่วยให้การชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าง่ายเหมือนกับการจอดรถ และในปีนี้ ฟอร์ดกำลังทดสอบรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ ที่ลอนดอน นิวยอร์คและเมืองใหญ่ต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา
ฟอร์ดยกเลิกแผนสำหรับการสร้างโรงงานแห่งใหม่มูลค่า 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ที่เมืองซานหลุยส์โปโตซี ประเทศเม็กซิโก และเพิ่มงบลงทุน 700 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อขยายโรงงานที่แฟลตร็อค เมืองมิชิแกน โดยฟอร์ดจะผลิตรถฟอร์ด โฟกัส ที่โรงงานที่มีอยู่แล้วในเมืองเฮอร์โมซิลโล ประเทศเม็กซิโก เพื่อพัฒนาผลประกอบการของบริษัท
ฟอร์ดประกาศรายละเอียดรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลกรุ่นใหม่จำนวน 7 รุ่นจาก 13 รุ่น ที่ฟอร์ดวางแผนจะเปิดตัวภายใน 5 ปีข้างหน้า ได้แก่ รถกระบะ F-150 ไฮบริดและรถฟอร์ด มัสแตง ในสหรัฐอเมริกา รถตู้ฟอร์ด ทรานซิท คัสตอม ปลั๊กอิน ไฮบริด ในยุโรป รวมถึง รถเอสยูวีไฟฟ้าเต็มรูปแบบที่สามารถวิ่งได้อย่างน้อย 300 ไมล์ ซึ่งจะวางจำหน่ายในทวีปเอเชีย อเมริกาเหนือและยุโรป
ฟอร์ดยังประกาศแผนการลงทุนมูลค่า 700 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อขยายโรงงานประกอบรถยนต์ที่แฟลตร็อค เมืองมิชิแกน ให้เป็นโรงงานสำหรับผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติสุดไฮเทคและรถยนต์ไฟฟ้า ควบคู่กับรถฟอร์ด มัสแตงและลินคอล์น คอนติแนนทัล ซึ่งการขยายการผลิตในครั้งนี้ จะช่วยสร้างงานอีกกว่า 700 งาน
การพัฒนาต่างๆ นี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนมูลค่า 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี พ.ศ. 2563 เพื่อการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยมอบประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิง รวมถึงการเพิ่มสมรรถนะและพลังในการขับเคลื่อนที่มีอยู่ในรถยนต์ฟอร์ดรุ่นต่างๆ ทั่วโลกให้แก่ลูกค้า แผนงานเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการขยายและพัฒนาให้ฟอร์ดก้าวขึ้นเป็นบริษัทผลิตรถยนต์และการสัญจรอัจฉริยะ รวมถึงการเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ พร้อมการมอบแนวทางการสัญจรแบบใหม่ๆ ให้กับลูกค้าต่อไป
"เมื่อผู้บริโภคทั่วโลก ต่างให้ความสนใจเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ฟอร์ดมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการมอบรถยนต์ไฟฟ้าที่หลากหลาย รวมถึงการบริการและโซลูชั่นต่างๆ ให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งจะช่วยพัฒนาให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น" มาร์ค ฟีลด์ส ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารฟอร์ดกล่าว "การลงทุนและการขยายการผลิตของฟอร์ดสะท้อนวิสัยทัศน์ของเราที่เชื่อว่า ในอีก 15 ปีข้างหน้านี้ จะมีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่าจำนวนรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมัน"
ฟอร์ดพัฒนาการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโดยมุ่งเน้นที่จุดเด่นของบริษัท ด้วยการพัฒนารถยนต์ที่ได้รับความนิยมในท้องตลาดและทำยอดขายได้สูง เช่น รถกระบะ รถเอสยูวี และรถเปี่ยมสมรรถนะรุ่นต่างๆ เพื่อสร้างให้รถยนต์เหล่านี้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นและขับสนุกด้วยเช่นกัน
รถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 7 รุ่น ที่ฟอร์ดประกาศในครั้งนี้ ได้แก่
· รถเอสยูวีขับเคลื่อนไฟฟ้าเต็มรูปแบบขนาดเล็กรุ่นใหม่ มีแผนจะเปิดตัวภายในปี พ.ศ. 2563 โดยรถยนต์รุ่นนี้ซึ่งจะผลิตขึ้นภายในโรงงานที่แฟลตร็อค ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมให้สามารถวิ่งได้อย่างน้อย 300 ไมล์ จะจำหน่ายในทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรปและเอเชีย
· รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบหลายที่นั่งที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อการพาณิชย์และการใช้รถยนต์ร่วมกัน ซึ่งจะเริ่มจากที่อเมริกาเหนือ โดยรถแบบไฮบริดที่จะเปิดตัวในปี พ.ศ. 2564 นี้จะผลิตในโรงงานที่แฟลตร็อค
· รถกระบะที่ขายดีที่สุด ฟอร์ด F-150 รุ่นไฮบริด จะพร้อมจำหน่ายในปี พ.ศ. 2653 ที่ทวีปอเมริกาเหนือและตะวันออกกลาง F-150 รุ่นไฮบริดซึ่งจะผลิตขึ้นที่โรงงานรถกระบะในเมืองเดียร์บอร์น จะสามารถมอบสมรรถนะการลากจูง และการบรรทุกสัมภาระที่ทรงพลัง พร้อมทำหน้าที่เป็นเสมือนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเคลื่อนที่
· รถฟอร์ด มัสแตง รุ่นไฮบริด ที่สามารถมอบพละกำลังจากเครื่องยนต์ทรงพลัง V8 และมอบแรงบิดช่วงรอบที่ต่ำมากกว่า รถฟอร์ด มัสแตง ไฮบริด รุ่นนี้จะผลิตขึ้นที่โรงงานที่แฟลตร็อค และเริ่มจำหน่ายที่ทวีปอเมริกาเหนือเป็นที่แรกในปี พ.ศ. 2563
· รถยนต์ฟอร์ด ทรานซิท คัสตอม แบบปลั๊กอิน ไฮบริด ที่จะพร้อมจำหน่ายในปี พ.ศ. 2562 ที่ยุโรปได้รับการออกแบบมาเพื่อลดต้นทุนการใช้งาน แม้ต้องวิ่งบนถนนที่มีรถวิ่งหนาแน่นที่สุด
· รถตำรวจแบบไฮบริดสำหรับขับไล่ล่ารุ่นใหม่จำนวน 2 รุ่น โดย 1 ใน 2 รุ่นนี้ จะผลิตในชิคาโก รถทั้งสองรุ่นจะได้รับการติดตั้งอุปกรณ์การใช้งานของตำรวจจากศูนย์ดัดแปลงรถยนต์ตำรวจของฟอร์ดในนคร ชิคาโก
นอกจากนี้ ฟอร์ดได้ประกาศว่า รถไฟฟ้ารุ่นต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นรถยนต์ไฮบริดชุดแรกที่ได้รับการติดตั้งด้วยเครื่องยนต์อีโค่บูสท์ เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการขับขี่และการประหยัดน้ำมันไปอีกขั้น
ฟอร์ดยังมุ่งมั่นวางแผนเดินหน้าพัฒนาการบริการและโซลูชั่นต่างๆ เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลก ซึ่งรวมถึง การจัดรถยนต์ไฟฟ้าแบบกลุ่ม การวางแผนเส้นทาง และแนวทางเทเลแมติกส์แบบต่างๆ
สร้างสรรค์เพื่ออนาคต
ฟอร์ดได้สร้างศูนย์นวัตกรรมการผลิตรถยนต์ขึ้นที่โรงงานประกอบรถยนต์แฟลตร็อค เพื่อส่งเสริมการผลิตรถยนต์ยุคใหม่ ทั้งยังได้ช่วยเพิ่มงาน 700 งาน ด้วยมูลค่าการลงทุน 700 ล้านเหรียญสหรัฐในอีก 4 ปีข้างหน้านี้ โดยพนักงานที่ศูนย์ฯ แห่งนี้ จะผลิตรถเอสยูวีขนาดเล็กรุ่นใหม่ ที่มาพร้อมกับแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น รวมไปถึง รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบเต็มรูปแบบสำหรับการใช้รถยนต์ร่วมกัน รถฟอร์ด มัสแตงที่โด่งดังและรถลินคอล์น คอนติแนนทัล
"ผมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ที่ฟอร์ดสามารถช่วยเพิ่มงานให้คนอเมริกันตามข้อตกลงกับสหพันธ์แรงงานยานยนต์แห่งสหรัฐฯ หรือUAW - Ford ได้" จิมมี่ เซทเทิล รองประธานสหพันธ์แรงงานยานยนต์แห่งสหรัฐฯ (United Auto Workers) แผนกฟอร์ด สหรัฐอเมริกา กล่าว "พนักงานทั้งชายและหญิงที่โรงงานประกอบรถยนต์ที่แฟลตร็อคต่างแสดงความมุ่งมั่นที่จะผลิตรถยนต์เปี่ยมคุณภาพ และพวกเราต่างตั้งตารอความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของพวกเราที่จะมาพร้อมกับรถยนต์ไฮเทครุ่นใหม่นี้"
การเพิ่มงบการลงทุนที่โรงงานประกอบรถยนต์แฟลตร็อคนี้มาจากงบลงทุน 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ที่ฟอร์ดเคยวางแผนไว้สำหรับการสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่ประเทศเม็กซิโกเมื่อก่อนหน้านี้
ในวันนี้ ฟอร์ดได้ประกาศยกเลิกการสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่เมืองซานหลุยส์โปโตซีที่ประเทศเม็กซิโก นอกจากนี้ ฟอร์ดยังประกาศว่า ฟอร์ดจะย้ายฐานการผลิตฟอร์ด โฟกัสรุ่นใหม่จากโรงงานผลิตในเมืองเวน รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา มายังโรงงานที่มีอยู่แล้วในเมืองเฮอร์โมซิลโล ประเทศเม็กซิโกแทน เพื่อเพิ่มผลประกอบการให้แก่บริษัท และเพื่อสร้างความสำเร็จทั้งในด้านการเงินและการพาณิชย์ให้กับรถยนต์รุ่นนี้ การย้ายฐานการผลิตฟอร์ด โฟกัสในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มช่องทางการผลิตให้กับรถยนต์ฟอร์ด มัสแตง และลินคอล์น คอนติแนนทัลอันเลื่องชื่อ และช่วยรักษางานให้แก่คนอเมริกันอีกกว่า 3,500 งาน
นวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลก
ด้วยความชำนาญกว่า 2 ทศวรรษ ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ฟอร์ดได้นำความสามารถและการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ เพื่อสรรสร้างเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ และการบริการที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้ารถกระบะ เจ้าของรถเอสยูวี ผู้ชื่นชอบรถสมรรถนะสูง กลุ่มบริษัทคู่ค้า และผู้ขับขี่ทุกคน
"กลยุทธ์ด้านการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าระดับโลกของฟอร์ด คือ การสานต่อความแข็งแกร่งที่เรามีอยู่" ราจ แนร์ รองประธานฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ และหัวหน้าฝ่ายช่างเทคนิคของฟอร์ด กล่าว "ในขณะที่ บริษัทจำนวนมากต่างให้ความสำคัญกด้านการตลาดและยอดขาย แต่สำหรับฟอร์ด เราให้ความสำคัญกับการนำเสนอสิ่งที่ดีกว่าให้แก่ลูกค้าที่ชื่นชอบรถของเรา ซึ่งหมายถึง การมอบสมรรถนะที่ดียิ่งขึ้นในรถกระบะ การมอบผลิตภาพที่มากยิ่งขึ้นในรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และสมรรถนะการขับขี่ชั้นสูงสำหรับรถสปอร์ต พร้อมประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันที่ดียิ่งขึ้นสำหรับรถทุกรุ่น"
ในปีนี้ ฟอร์ดได้เริ่มต้นทดลองนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดในเมืองต่างๆ เช่น ลอนดอน ที่ฟอร์ดได้เตรียมนำรถฟอร์ด ทรานซิท คัสตอม ปลั๊กอิน ไฮบริด มาใช้ในช่วงปลายปีนี้ พร้อมการบริการสัญจรรูปแบบใหม่ เทเลแมติกส์ การโทรสนเทศ หรือการสื่อสารสองทางระหว่างรถยนต์และศูนย์บริการสารสนเทศจราจร และระบบการเชื่อมต่อสื่อสารต่างๆ
นอกจากนี้ ฟอร์ดได้เริ่มต้นทดลองใช้รถแท็กซี่ฟอร์ด ทรานซิท คอนเนคแบบไฮบริด จำนวน 20 คัน ที่นิวยอร์ค และอีกหลายเมืองสำคัญๆ ในสหรัฐอเมริกา รวมถึง การทดลองใช้รถตู้ต้นแบบ ในบางเมืองที่มีการจราจารหนาแน่นติดอันดับโลก
รถแท็กซี่ฟอร์ด ทรานซิท คอนเนค ไฮบริด เหล่านี้ ได้รับการพัฒนาขึ้นจากความสำเร็จของรถแท็กซี่ไฮบริด คันแรกของโลก ซึ่งก็คือ ฟอร์ด เอสเคป ไฮบริด รถเอสยูวีไฮบริดคันแรกของโลก และเป็นรถไฮบริดคันแรกของทวีปอเมริกาเหนือ ในปัจจุบัน มีรถฟอร์ด เอสเคป แท็กซี่ ไฮบริด แล่นอยู่บนท้องถนนเป็นจำนวนมาก โดยรถแต่ละคันได้ให้บริการการเดินทางแก่ผู้โดยสารมากกว่า 350,000ไมล์ และยังคงใช้แบตเตอรี่อันเดิมอยู่
ปัจจุบันใน ฟอร์ดมียอดขายรถปลั๊กอิน ไฮบริดสูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา และมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามากเป็นอันดับสอง
ประสบการณ์การบริการใหม่ๆ
ฟอร์ด ในฐานะผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ที่มีความชำนาญมากว่า 2 ทศวรรษ กำลังพัฒนาการให้บริการลูกค้าต่างๆ เพื่อให้การเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้านั้นมีความคุ้มค่าและสะดวกสบาย
"นวัตกรรมการให้บริการ ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับลูกค้าไม่น้อยไปกว่าคุณภาพของรถยนต์ไฟฟ้า" ฮั่ว ไท-ตั้ง รองประธานกลุ่มด้านจัดซื้อ และผู้สนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าฟอร์ด กล่าว "เรามุ่งมั่นและลงทุนในการวางโซลูชั่นต่างๆ เพื่อมอบบริการที่ดีที่สุด และเพื่อนำเสนอรถยนต์และเทคโนลียีอันล้ำสมัยที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตทั้งกับลูกค้าบุคคล และกลุ่มบริษัทคู่ค้าของเรา"
ฟอร์ดได้ทำบันทึกความเข้าใจกับผู้ผลิตรถยนต์รายต่างๆ ในยุโรป เพื่อสร้างโครงข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ให้ความเร็วสูงสุด ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าระบบชาร์จพลังงานที่มีในปัจจุบัน โดยในเบื้องต้นเรามีเป้าหมายที่จะสร้างสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ประมาณ 400 สถานี ในยุโรป และคาดว่าภายในปี พ.ศ. 2563 ลูกค้าจะสามารถเข้าถึงสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้กว่า 1,000สถานี
นอกจากนั้น ฟอร์ดยังเป็นผู้นำร่องในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีการชาร์จไฟแบบไร้สายแก่รถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาและยุโรป เพื่อช่วยให้การชาร์จไฟนั้นเป็นเรื่องง่ายดายเสมือนการจอดรถ และทำให้ผู้ขับขี่ไม่ลืมที่จะชาร์จไฟ ซึ่งการชาร์จไฟแบบไร้สายนี้ จะสามารถทำได้ในระยะทางไป-กลับเป็นประจำของผู้เดินทางระยะใกล้ หรือแม้กระทั่งการหยุดรถชั่วคราว และผู้ขับขี่ยังสามารถใช้FordPass® เพื่อช่วยจองตารางเวลาชาร์จได้อีกด้วย
การเข้าใจความต้องการของลูกค้า
ฟอร์ดได้เก็บข้อมูลและค้นคว้าเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าจากประสบการณ์จริงของผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าทั้งในอดีตและปัจจุบันเรื่อยมา โดยนับตั้งแต่ปี 2548 ฟอร์ดได้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า ไปแล้วกว่า 520,000 คันในทวีปอเมริกาเหนือ และอีกกว่า 560,000 คันทั่วโลก
หลังการศึกษาและเก็บข้อมูลจากผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าของฟอร์ดกว่า 33,000 คน ที่ได้เดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 58 ล้านครั้ง สิ่งที่ฟอร์ดค้นพบ มีดังต่อไปนี้
· ร้อยละ 88 ของผู้ขับขี่ มีระยะทางการเดินทางในแต่ละวันโดยประมาณอยู่ที่ 60 ไมล์หรือน้อยกว่า ซึ่งรถฟอร์ดปลั๊กอิน ไฮบริด สามารถขับขี่ได้ในระยะทางเฉลี่ย 680 ไมล์ ผู้ขับขี่จึงแทบไม่จำเป็นต้องหยุดพักเพื่อชาร์จไฟระหว่างทาง
· ผู้ขับขี่ต่างต้องการชาร์จไฟเข้ารถยนต์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างไรก็ดี ผู้ขับขี่ต่างค่อยๆ ลดความวิตกกังวลลงไปเอง เมื่อเริ่มคุ้นเคยกับเทคโนโลยีนี้มากขึ้น
· ร้อยละ 80 ของผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าฟอร์ด ชาร์จไฟเพียงวันละครั้ง และร้อยละ 60 จะชาร์จไฟในช่วงค่ำ
· จากการสำรวจ จำนวนผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าของฟอร์ด พบว่าผู้ขับขี่ทั้งหมดชาร์จไฟเข้ารถไปแล้วกว่า 9.4 ล้านคืน
จากการสำรวจพบว่า ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าของฟอร์ดส่วนมากยังคงต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเหมือนเดิม ในการซื้อรถคันต่อไป
· ร้อยละ 92 ของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าบอกว่า จะยังคงเลือกรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อต้องการซื้อรถคันใหม่
· ร้อยละ 87 ของผู้ขับขี่รถปลั๊กอิน ไฮบริด ยังคงต้องการใช้รถแบบปลั๊กอิน ไฮบริดเหมือนเดิมในการซื้อรถคันต่อไป