Return of the Touch of Excellence! กลับมาอีกครั้ง! กับประสบการณ์พิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟ โดย มิชลินสตาร์ระดับ 2 ดาว เชฟฟร้องต์ ปูเตลาท์ ที่บินตรงมาจากประเทศฝรั่งเศส ในวันที่ 22 ถึง 25 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ โรงแรม วี กรุงเทพฯ

ข่าวบันเทิง Monday January 9, 2017 09:21 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--9 ม.ค.--โรงแรม วี กรุงเทพฯ กลับมาอีกครั้ง! ตามคำเรียกร้องกับมิชลินสตาร์ระดับ 2 ดาว เชฟฟร้องต์ ปูเตลาท์ เป็นที่รู้จักและยอมรับของคนทั่วโลกด้วยฝีมืออันยอดเยี่ยม พิถีพิถันใส่ใจในรายละเอียดอันแสนประณีต ความสามารถที่ไม่ธรรมดาของ เชฟฟร้องต์ ปูเตลาท์ ได้ทำให้อาหารของเขามีรสชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ เชฟฟร้องต์ ปูเตลาท์ ยังเป็นที่รู้จักในเรื่องการรังสรรค์สุดยอดเมนูอาหารที่ไม่มีกรอบและกฎเกณฑ์ซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญาณความเป็นฝรั่งเศสอย่างแท้จริง เชฟฟร้องต์ ปูเตลาท์ ยังเป็นเจ้าของโรงแรม เลอ ปาร์ค (Hôtel Le Parc) และเป็นเชฟของภัตตาคารมิชลินสตาร์ระดับ 2 ดาว ในโรงแรมของเขาเอง ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองการ์กาซอน (Carcassonne) ประเทศฝรั่งเศส อีกด้วย มิชลินสตาร์ระดับ 2 ดาว เชฟฟร้องต์ ปูเตลาท์ จะมาแสดงทักษะระดับมิชลินสตาร์ เพียงแค่ 4 วันเท่านั้น ระหว่างวันที่ 22 – 25 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ภัตตาคาร La VIE – Creative French Cuisine ชั้น 11 โรงแรม วี กรุงเทพฯ ราคา 6,000 บาท สำหรับอาหาร 7 คอร์ส และ ราคา 8,000 บาท สำหรับอาหาร 7 คอร์สจับคู่กับไวน์ อาหารเริ่มเสิร์ฟเวลา 19:00 น. เป็นต้นไป** มิชลินสตาร์ระดับ 2 ดาว เชฟฟร้องต์ ปูเตลาท์ เชฟผู้ที่ได้รับการยอมรับถึงรสชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ในการปรุงอาหาร โดยทุกๆจานของเขาได้รับการปรุงอย่างพิถีพิถัน และนี่คือหัวใจของรสชาติอาหาร โดยเชฟฟร้องต์ ปูเตลาท์ นั่นเอง เชฟฟร้องต์ ปูเตลาท์ เคยอาศัยอยู่บริเวณเทือกเขา ชูคา (Jura) ทางตะวันออกของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็น เทือกเขาที่มีความสวยงาม ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้เขียวขจี และเป็นจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจในการปรุงอาหาร แสดงให้เห็นถึงอิสระ ไร้ขอบเขตในการคิดแต่ละเมนูของเขา เชฟฟร้องต์ เริ่มต้นอาชีพเชฟอาหารฝรั่งเศสแบบดั้งเดิม และต่อมาเขาได้รับประกาศนียบัตรของ CAP (Le Certificat d'Aptitude Professionnelle) และ "Diplôme Brevet de maitrise de cuisine" ในเวลาต่อมา เมื่อตอนเชฟฟร้องต์อายุเพียง 17 ปี เขาได้ทำงานที่ โรงแรม Hôtel de France ใน Les Rousses (เล คูซ) ซึ่งเป็นที่ที่เขาได้มีโอกาสเรียนรู้ทักษะต่างๆมากมาย ต่อมาเขาได้มีโอกาสทำงานที่ภัตตาคาร โอแบร์จ เดอ ชาวานน์ (Auberge de Chavannes) และภัตตาคาร ตายล์วองต์ (Taillevent) ของฟิลิปป์ เลอช็อง (Philippe Legendre) ต่อด้วยภัตตาคารของ Georges Blanc ที่ วอนนาส (Vonnas) ซึ่งเป็นภัตตาคารที่เขาได้รับโอกาสเป็นหัวหน้าพ่อครัว (Executive Chef) และยังทำให้เขามีส่วนร่วมในอีเว้นท์ต่างๆทั่วโลก จากนิวยอร์ก ไปยังสิงคโปร์ เปรู แคนาดา และประเทศอื่นๆ ต่อมาในปีพ.ศ. 2541 เขาได้สานต่อกิจการร้านอาหาร La Barbacane ใน การ์กาซอน ฝรั่งเศส หลังจากได้รับรางวัลระดับมิชลินสตาร์ดวงแรกจากห้องอาหารนี้ เขายังได้รับรางวัล Bocuse d'Argent ในปี 2546 ซึ่งเป็นการแข่งขันทำอาหารที่มีชื่อเสียงในระดับสากล และเป็นการยกระดับชื่อเสียงเชฟไปอยู่ในจุดสูงสุด เชฟฟร้องต์ ปูเตลาท์ มีโอกาสได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆทั่วโลก และในที่สุดปี 2548 เขาก็เปิดโรงแรมเป็นของตัวเองชื่อ Le Parc ทำให้ความฝันของเขาเป็นจริงขึ้นมา โรงแรม Le Parc และภัตตาคาร La Table de Franck Putelat ได้รับคำชื่นชมมากมายสำหรับการสร้างสรรค์อาหารของเขาและได้รับรางวัลระดับมิชลินสตาร์ที่สองในปี 2555 Le Parc เป็นโรงแรมบูทิคสุดหรูมีห้องพักเพียง 7 ห้องเท่านั้น และในปี 2556 ด้วยประสบการณ์การเดินทางอันยาวนาน ทำให้ร้านของเขานั้นไม่ซ้ำกับร้านอาหารใดในฝรั่งเศสและรสสัมผัสอันเป็นเลิศซึ่งหาร้านใดมาเทียบเคียงได้ยาก

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ