กรุงเทพฯ--17 ม.ค.--ทีเอ็มบี
ทีเอ็มบี หรือ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เผยผลประกอบการปี 2559 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองฯ จำนวน 18,667 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยธนาคารตั้งสำรองฯ เป็นจำนวน 8,649 ล้านบาท การตั้งสำรองระดับค่อนข้างสูงนี้เพื่อให้ธนาคารสามารถตัดหนี้สูญ (write off) เพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยงลง ส่งผลให้สัดส่วน NPL ของธนาคารลดลงเป็น 2.53% และมีสัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ในระดับสูงที่ 143% ทำให้ธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 8,226 ล้านบาท
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทีเอ็มบี กล่าวว่า "ในปี 2559 สินเชื่อเติบโต 2.2% แม้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อ SME จะลดลงตามสภาวะเศรษฐกิจ สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง จากที่ธนาคารได้ปรับปรุงกระบวนการนำเสนอสินเชื่อให้มีความรวดเร็วและถูกต้องตอบโจทย์ลูกค้า ทำให้ลูกค้าสนใจใช้ผลิตภัณฑ์ของธนาคารมากขึ้น ส่วนเงินฝากรวมลดลง 7% จากสิ้นปีที่แล้ว จากการบริหารสัดส่วนของเงินฝากให้มุ่งเน้นเงินฝากธุรกรรมทางการเงิน (Transactional deposit) มากขึ้นและให้สอดคล้องกับทิศทางสินเชื่อ ส่งผลให้สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากอยู่ที่ 99% โดยธนาคารประสบความสำเร็จในการขยายเงินฝากธุรกรรมทางการเงิน (Transactional deposit) จากฐานเงินฝากลูกค้าบุคคล ซึ่งนำโดยการขยายตัวของเงินฝาก All Free ซึ่งเติบโตถึง 20,000 ล้านบาท โดยในปี 2559 นี้ สัดส่วนเงินฝากธุรกรรมทางการเงิน (Transactional deposit) เพิ่มขึ้นจาก 37% เป็น 40%"
รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 7% ในปี 2559 ซึ่งมาจากส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย (NIM) ที่สูงขึ้นเป็น 3.17% จาก 3.02% ในปีก่อน ในขณะที่ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน โดยแม้ว่าค่าธรรมเนียมสินเชื่อลดลง 32% ตามทิศทางสินเชื่อธุรกิจที่ลดลง แต่ค่าธรรมเนียมจากลูกค้าบุคคลยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ 13% จากค่าธรรมเนียมผลิตภัณฑ์แบงก์แอสชัวรันส์ที่สามารถขยายตัวได้ถึง 32% และค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตที่ยังขยายตัวถึง 65% ซึ่งเป็นผลจากการที่ธนาคารพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น
รายได้รวมของธนาคารเพิ่มขึ้น 5% จากปีที่แล้ว เป็นจำนวน 35,223 ล้านบาท ในขณะที่ธนาคารยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย 1% จากปีที่แล้ว เป็นจำนวน 16,589 ล้านบาท ทำให้กำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองฯ เพิ่มขึ้น 10% จากปีที่แล้วโดย มาอยู่ที่ 18,667 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในปี 2559 ธนาคารยังคงดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ (Prudence) ภายใต้แนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังไม่มีความแน่นอน และตัดสินใจลดความเสี่ยงเพิ่มเติม โดยตั้งสำรองเพื่อตัดบัญชีหนี้สูญ (write off) มากขึ้นจากปกติ เป็นผลให้ธนาคารมีสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อลดลงมาที่ 2.53% จาก 2.99% ในปีที่แล้ว และจำนวน NPL ลดลง 2,868 ล้านบาทจากปีก่อน เป็น 17,605 ล้านบาท และการที่ธนาคารตั้งสำรองฯ ในระดับสูงเป็นจำนวน 8,649 ล้านบาทซึ่งเพิ่มขึ้น 58% จากปีที่แล้ว ทำให้ธนาคารยังคงสัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ที่แข็งแกร่งที่ 143% และส่งผลให้ธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 8,226 ล้านบาท ลดลง 12% จากปีก่อน
นอกจากนี้ ธนาคารยังคงดำรงสถานะเงินกองทุนในระดับแข็งแกร่งภายใต้เกณฑ์ Basel III โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) ณ เดือนธันวาคม เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเป็น 18.14% และกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) เพิ่มขึ้นจาก 11.3% ปีที่แล้วเป็น 12.80% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งกำหนดไว้ที่ 9.125% และ 6.625% ตามลำดับ
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า "ในปี 2559 ธนาคารดำเนินงานอย่างรอบคอบและยังมีผลกำไรจากการดำเนินงานที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง และในปี 2560 ธนาคารจะยังมุ่งเน้นการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า พร้อมทั้งการปรับประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการพัฒนา Digital Banking ที่จะช่วยให้ลูกค้าได้ใช้ชีวิตได้เต็มที่ในแบบลูกค้าต้องการ"