กรุงเทพฯ--19 ม.ค.--ธนาคารกรุงเทพ
ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิปี 2559 จำนวน 31,815 ล้านบาท เทียบกับ 34,181 ล้านบาทในปีก่อนหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยคาดว่าในระยะต่อไปเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในทิศทางขยายตัวตามแรงส่งจากการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ แต่ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจโลก ขณะที่การบริโภคและลงทุนภาคเอกชนในประเทศมีแนวโน้มเติบโตในระดับต่ำ ธนาคารจึงยังคงยึดหลักความระมัดระวังโดยการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญอย่างต่อเนื่องควบคู่กับการบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมทั้งรักษาเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่ดี สามารถรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต เพื่อให้ธนาคารมีเสถียรภาพทางการเงินที่ยั่งยืน
ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2559 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 1,941,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72,190 ล้านบาทหรือ ร้อยละ 3.9 จากสิ้นปี 2558 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่และรายกลาง สินเชื่อลูกค้าบุคคล และสินเชื่อกิจการต่างประเทศ แม้ว่าเงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น แต่ธนาคารยังคงรักษาอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อ เงินรับฝากอยู่ที่ร้อยละ 89.1 ใกล้เคียงกับปีก่อน สำหรับสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2559 มีจำนวน 68,841 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.2 ของเงินให้สินเชื่อรวม ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่ค่อยๆ ฟื้นตัว จึงส่งผลต่อภาคธุรกิจที่ต้องใช้เวลาในการปรับตัว ทั้งนี้ ธนาคารยังคงติดตามดูแลคุณภาพสินเชื่ออย่างใกล้ชิดและตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2559 เงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 119,518 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.2 ของเงินให้สินเชื่อ และในปี 2559 ค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญมีจำนวน 15,728 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2559 เมื่อเทียบกับปี 2558 ธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 31,815 ล้านบาท ลดลง 2,366ล้านบาทหรือร้อยละ 6.9 โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 63,998 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,488 ล้านบาทหรือร้อยละ 11.3 และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.34 เป็นผลจากการบริหารต้นทุนเงินรับฝากให้ลดลง สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 41,860 ล้านบาท ลดลง 3,359 ล้านบาทหรือร้อยละ 7.4 ส่วนใหญ่มาจากกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์และกำไรสุทธิจากเงินลงทุนลดลง ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 421 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมจากบริการอิเล็กทรอนิกส์และการโอนเงิน บริการธุรกิจหลักทรัพย์ ค่าธรรมเนียมจากการอำนวยสินเชื่อ และบริการด้านหลักทรัพย์ สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานมีจำนวน 50,505 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,460 ล้านบาทหรือร้อยละ 12.1 รายการที่สำคัญ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายประมาณการหนี้สินสำหรับภาระผูกพัน และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานเพิ่มขึ้น
ด้านเงินกองทุน ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนอยู่ในระดับที่ดีสามารถรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งหากนับรวมกำไรสุทธิสำหรับงวดกรกฎาคมถึงธันวาคม 2559 เข้าเป็นเงินกองทุน อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยจะอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 19.1 ร้อยละ 17.2 และร้อยละ 17.2 ตามลำดับ สำหรับ ส่วนของเจ้าของ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 มีจำนวน 379,016 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12.9 ของสินทรัพย์รวม และมูลค่าตามบัญชีเท่ากับ 198.56 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 9.00 บาท จากสิ้นปี 2558