กรุงเทพฯ--30 ม.ค.--IR network
ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง "เดนทัล คอร์ปอเรชั่น" ขายไอพีโอ 50 ล้านหุ้นผู้ให้บริการทางทันตกรรมแถวหน้าของประเทศ-ได้รับมาตรฐาน JCI รายแรกของไทยคาดระดมทุนและเข้าจดทะเบียนตลาด mai ไตรมาสสองปีนี้ผลงานสุดเจ๋ง 9 เดือนปี 59 โชว์กำไรสุทธิ 32 ลบ.พุ่งเกือบ 100% จากปีก่อน
ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง บมจ. เดนทัล คอร์ปอเรชั่น เสนอขายหุ้นไอพีโอ 50 ล้านหุ้น คาดระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ภายในไตรมาสสองปีนี้ ผู้บริหารระบุเป็นผู้ประกอบการระดับแถวหน้าของเมืองไทย แต่ชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในระดับสากล มีแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปลงทุนเพื่อขยายสาขา ชำระหนี้เงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจ โชว์ผลงานสุดประทับใจรายได้และกำไรทำได้ดี ล่าสุดงวด 9 เดือนปี 2559 โชว์กำไรสุทธิ 32 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 16 ล้านบาท ที่ทำได้ในงวดเดียวกันของปีก่อน
นางศิริพร เหล่ารัตนกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทที่ปรึกษา เอเซียพลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เดนทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้ยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก หรือ IPO และได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ หรือไฟลิ่ง ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขณะนี้ได้นับหนึ่งไฟลิ่งเรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะสามารถระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ภายในไตรมาสสองปี 2560 นี้
ทั้งนี้ บริษัท เดนทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และไฟลิ่ง ต่อ ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป เป็นครั้งแรก จำนวน 50 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนรวม 100 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 75 ล้านบาท
นายพรศักดิ์ ตันตาปกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดนทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ D กล่าวว่า บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากระดมทุนในครั้งนี้ ไปลงทุนขยายสาขา ใช้ในการชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้สำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยปัจจุบันประกอบธุรกิจให้บริการทางทันตกรรมแบบครบวงจรด้วยเทคโนโลยีและวัสดุอุปกรณ์ที่ทันสมัยให้บริการทางทันตกรรมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีมาตรฐานการรักษาในระดับสากล และมุ่งเน้นการเอาใจใส่ต่อผู้เข้ารับบริการ ในรูปแบบศูนย์ทันตกรรมและคลินิกทันตกรรม ภายใต้แบรนด์ "BIDC", "Dental Signature" และ "Smile Signature"
ศูนย์ทันตกรรมและคลินิกทันตกรรมของกลุ่มบริษัท ประกอบด้วยทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขา มีทีมงานที่ได้รับการอบรมให้มีมาตรฐานในการให้บริการเป็นอย่างดี เน้นการให้บริการที่สุภาพเป็นกันเอง พร้อมด้วยเทคโนโลยีและวัสดุอุปกรณ์ที่ปลอดภัยและทันสมัย กลุ่มบริษัทให้บริการทางทันตกรรมแบบทั่วไป ทันตกรรมเพื่อความงาม ทันตกรรมรากฟันเทียม ทันตกรรมประดิษฐ์ ทันตกรรมจัดฟัน นอกจากนี้ยังมีส่วนศัลยกรรมช่องปาก รักษารากฟัน และรักษาโรคเหงือก ปัจจุบัน กลุ่มบริษัทมีทั้งหมด 12 สาขา เป็นศูนย์ทันตกรรมจำนวน 2 สาขา และคลินิกทันตกรรมจำนวน 10 สาขา
"ศูนย์ทันตกรรมของเราจัดได้ว่าเป็นผู้ประกอบที่อยู่แถวหน้าของประเทศ และได้รับการยอมรับจากในระดับสากล โดยศูนย์ทันตกรรม BIDC ได้ใบรับรองการบริหารจัดการด้านการให้บริการทางทันตกรรมจาก Joint Commission International หรือ JCI Accreditation ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานระดับสากลทางด้านการให้บริการด้านการดูแลสุขภาพและการบริหารองค์กรของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยศูนย์ทันตกรรม BIDC เป็นศูนย์ทันตกรรมแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน JCI และเป็นแห่งที่สองในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รองจากสิงคโปร์) มาตั้งแต่ปี 2555 ทั้งนี้ การรับรองมาตรฐาน JCI จะมีระยะเวลา 3 ปี ซึ่งจะต้องได้รับการ Re-accredit ทุก 3 ปี ซึ่งศูนย์ทันตกรรม BIDC ผ่านการ Re-accredit แล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 ในวงการแพทย์ต่างเป็นที่รู้กันดีว่ามาตรฐาน JCI เป็นที่ยอมรับและรู้จักดีในกลุ่มชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวยุโรปและอเมริกา สร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นให้แก่คนไข้ที่มาเข้ารับการรักษา จึงทำให้ศูนย์ทันตกรรม BIDC ได้รับความสนใจจากคนไข้ต่างชาติในการเข้ามารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง"
ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้จากการให้บริการเป็นหลัก โดยในปี 2556 – 2558 มีรายได้รวม ซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี เท่ากับ 310.42 ล้านบาท 408.26 ล้านบาท และ 418.56 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.52 ในปี 2557 และร้อยละ 2.52 ในปี 2558 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการ และมีกำไรสุทธิ 15.84 ล้านบาท 25.59 ล้านบาท และ 12.31 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2558 และปี 2559 พบว่า รายได้จากการบริการเพิ่มขึ้น โดยมีรายได้รวม เท่ากับ 319.59 ล้านบาท และ 335.57 ล้านบาท ตามลำดับ สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการบริการใน สาขาภูเก็ต สไมล์ ซิกเนเจอร์ และสาขาเซ็นทรัล เวสต์เกต เนื่องจากสาขาดังกล่าวได้เปิดดำเนินการระหว่างงวด 9 เดือนแรกของปี 2558 ประกอบกับในงวด 9 เดือนแรกของปี 2559 ได้รวมรายได้จากการบริการของสาขาเซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ และสาขาเซ็นทรัลพลาซ่าปิ่นเกล้า ซึ่งเปิดดำเนินการในช่วงปลายปี 2558 และต้นปี 2559 ไว้ด้วย และจากการบริหารจัดการต้นทุนที่มีความรัดกุมมากขึ้น ทำให้งวด 9 เดือนแรกของปี 2558 และปี 2559 มีกำไรสุทธิ เท่ากับ 16.13 ล้านบาท และ 32.01 ล้านบาท ตามลำดับ