กรุงเทพฯ--31 ม.ค.--เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด คว้ารางวัลบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ออกตราสารหนี้ภาคเอกชน (Top Underwriting Securities Firm) ปี 2559 จากการเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่อันเดอร์ไรเตอร์หุ้นกู้ภาคเอกชนมูลค่ารวมสูงสุด พร้อมมั่นใจว่าปี 2560 ตลาดตราสารหนี้จะยังเติบโตมาก จากความต้องการระดมทุนของเอกชน เพื่อขยายธุรกิจ รองรับเศรษฐกิจฟื้นตัว
ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่เอเซีย พสัสได้รับรางวัล Top Underwriting Securities Firm ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพราะนอกจากรางวัลจะเป็นความภาคภูมิใจในผลงานของบริษัทแล้ว เอเซีย พลัสยังได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ด้วย
"ตราสารหนี้เป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญสำหรับเอกชน ที่ต้องการเงินทุนไปใช้ขยายธุรกิจปีที่ผ่านมา เอเซีย พลัสเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่ทำอันเดอร์ไรเตอร์หุ้นกู้มากที่สุด ในปีนี้ก็เช่นกัน เรามองว่าความต้องการออกหุ้นกู้ของเอกชนจะมีมากขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ" ดร.ก้องเกียรติ กล่าว
ในปี 2559 เอเซีย พลัสเป็นอันเดอร์ไรเตอร์หุ้นกู้ ที่จดทะเบียนในตลาดตราสารหนี้ (ThaiBMA) มูลค่าราว 2.3หมื่นล้านบาท เทียบกับหุ้นกู้ทั้งหมดที่มีมูลค่ารวม5.7 แสนล้านบาท
ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า หากนับรวมตราสารหนี้ ทั้งที่ขึ้นทะเบียนและไม่ได้ขึ้นทะเบียนใน ThaiBMA แล้ว เอเซีย พลัสเป็นอันเดอร์ไรเตอร์ตราสารหนี้ทั้งหมดมูลค่ารวม 1.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นกู้ 4 หมื่นล้านบาท และตั๋วบี/อี 8 หมื่นล้านบาท โดยในส่วนของตั๋วบี/อี ปีที่ผ่านมาออกกันมาก เนื่องจากเอกชนต้องการเงินไปใช้ขยายธุรกิจ และการออกทำได้รวดเร็ว รวมทั้งเป็นการกระจายการระดมทุนที่นอกเหนือจากสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ทำให้เอกชนหันมาใช้การออกตั๋วบี/อีควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจเช่าซื้อ
สำหรับแนวโน้มตลาดตราสารหนี้ในปี 2560 นี้ เชื่อว่ายังเติบโตสูง จากความต้องการระดมทุนของภาคเอกชนที่มีมากขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ โดยเอเซีย พลัสประเมินว่าจีดีพีจะขยายตัวในอัตรา 3.5% ในปีนี้ รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนน่าจะฟื้นตัว หลังจากที่ภาครัฐนำร่องการลงทุนไปแล้ว และออกมาตรการต่างๆเพื่อกระตุ้นให้เอกชนลงทุนด้วย
ดร.ก้องเกียรติ กล่าวถึง ความกังวลเรื่องตั๋วบี/อี ว่า ปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ที่เกิดขึ้นอยู่ในวงจำกัด เชื่อว่าไม่กระทบภาพรวมของตลาด และบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นอันเดอร์ไร์เตอร์มีขั้นตอนการพิจารณาที่เข้มงวดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน นโยบายของผู้บริหาร กระแสเงินสด และแนวโน้มธุรกิจ เป็นต้น
"ปัญหาของตั๋วบี/อีที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละราย และมีไม่มาก เชื่อว่าไม่กระทบตลาดรวม ปีนี้ทั้งหุ้นกู้ และตั๋วบี/อี บริษัทต่างๆ ยังต้องการออกกันอีกมาก เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัว การกรั่นกรองเพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพ เป็นหน้าที่สำคัญของอันเดอร์ไรเตอร์" ดร.ก้องเกียรติ กล่าวย้ำ