กรุงเทพฯ--1 เม.ย.--กทม.
เมื่อวานนี้ (31 มี.ค.) ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เวลา 11.00 น. นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้รับฟังข้อมูลจาก “เจ๊หลี” หรือ นางศิราณี ผู้ค้าย่านโบ๊เบ๊ ซึ่งเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ว่า จ่ายเงินให้แก่เจ้าหน้าที่เทศกิจเขตป้อมปราบฯ แลกกับค่าทำบัตรประจำตัวผู้ค้า เพื่อรับฟังข้อเท็จจริงจากปากของผู้ค้ารายดังกล่าว จากนั้น นายอภิรักษ์ได้ประชุมร่วมกับ พล.ต.ต.กมล แก้วสุวรรณ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บชน.) นายตลอด จรูญรัตน์ รองปลัดกรุงเทพมหานคร ผู้อำนวยการสำนักเทศกิจ พร้อมด้วยผู้อำนวยการเขตป้อมปราบฯ เขตดุสิต และเขตพระนคร เพื่อหารือถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาหาบเร่-แผงลอย ทั้งในจุดผ่อนผันและนอกจุดผ่อนผัน และในวันเดียวกันนี้ ได้เชิญผู้ค้าจากตลาดโบ๊เบ๊จำนวน 11 ราย มาให้ข้อเท็จจริงและรับทราบปัญหา ตลอดจนความต้องการของผู้ค้าในบริเวณดังกล่าว
เสนอ บชน.เร่งพิจารณาจุดผ่อนผันเพิ่ม
นายอภิรักษ์ กล่าวว่า การประชุมร่วมกับ บชน. และผู้เกี่ยวข้องในวันนี้ ได้ข้อสรุปว่าจะมีการพิจารณาหาแนวทางแก้ไขพื้นที่ทำการค้าที่เป็นปัญหา ภายใน 7 วัน โดยเฉพาะบริเวณโบ๊เบ๊ ซึ่งมีบางส่วนยังไม่ได้รับการอนุญาตจาก บชน.ให้เป็นจุดผ่อนผันที่สามารถทำการค้าได้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยจะต้องเร่งสำรวจผู้ค้าที่มีบัตรและทะเบียนทำการค้าที่ถูกต้อง และรวบรวมข้อมูล ทั้งหมดเสนอ บชน.พิจารณาอนุญาตเป็นจุดผ่อนผันโดยเร่งด่วนต่อไป ทั้งนี้ กทม. ได้เคยเสนอให้ บชน.พิจารณาจุดทำการค้าเพื่อเป็นจุดผ่อนผันเพิ่มเติมในพื้นที่ทั้ง 50 เขต อีก 466 จุด ผู้ค้า 10,792 ราย จากเดิมที่มีจุดผ่อนผันอยู่แล้ว 268 จุด ผู้ค้า 15,289 ราย แต่เนื่องจากเห็นว่าขณะนี้มีปัญหาเร่งด่วนจึงขอให้ บชน.แยกพิจารณาในพื้นที่ 3 เขต ก่อน คือ เขตป้อมปราบฯ ดุสิต และพระนคร ภายใน 2 สัปดาห์ ส่วนเขตอื่นๆ ที่เหลือจะพิจารณาเสร็จภายใน 1 เดือน อย่างไรก็ดีการจะอนุญาตให้เป็นจุดผ่อนผันได้หรือไม่นั้น จะต้องขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ความเหมาะสมของพื้นที่ เช่น ไม่อยู่ชิดป้ายรถเมล์ ตู้โทรศัพท์ ไม่กีดขวางทางขึ้นลงสะพานลอย หรือทางข้าม ไม่กีดขวางการจราจร และไม่อยู่บนทางเท้าที่มีความกว้างไม่ถึง 2 เมตร เป็นต้น
ตั้งกรรมการสอบผู้เรียกรับเงินนอกระบบ
สำหรับกรณีที่มีการเสนอข่าวเรื่องการเรียกรับเงินของเจ้าหน้าที่เทศกิจในการออกบัตรผู้ค้าให้กับ เจ๊หลี หรือนางศิราณี นั้น นายอภิรักษ์ กล่าวว่า ตนได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว โดยมี นายตลอด จรูญรัตน์ รองปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นประธาน พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่วินัย กองการเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะเร่งสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งเจ้าหน้าที่เทศกิจ และอดีตผู้อำนวยการเขตในขณะนั้น ทั้งนี้ หากผลการสอบสวนยืนยันแน่ชัดว่าเจ้าหน้าที่มีพฤติกรรมเจตนาเรียกรับเงินจากผู้ค้าจริง ถือเป็นการประพฤติ โดยมิชอบ จะต้องดำเนินการตามวินัยอย่างเด็ดขาด โดยมีโทษชั้นสูงสุด คือ ไล่ออก เพราะกทม.มีนโยบายชัดเจนแล้วว่าจะต้องไม่มีการเรียกรับเงินนอกระบบ จะเก็บเพียงค่าธรรมเนียมรักษาความสะอาด เดือนละ 100 บาท /ตารางเมตร เท่านั้น ทั้งนี้หากผู้ค้าหรือประชาชนพบว่ามีผู้เรียกรับเงินนอกระบบให้แจ้งมาที่ผู้ว่าราชการกทม.ได้โดยตรง หรือ แจ้งที่สำนักงานเลขานุการผู้ว่าฯกทม. หากเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ของกทม. จะต้องดำเนินการกับบุคคลนั้น หรือหากเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลจากภายนอก กทม.จะร่วมกับคณะปราบปรามผู้มีอิทธิพล และบชน. ดำเนินการนำตัวผู้เกี่ยวข้องมารับผิดต่อไป
ผู้ค้าร้องกทม. แยกประเภทกลุ่มที่มีปัญหา
ในการประชุมร่วมกับตัวแทนผู้ค้าย่านโบ๊เบ๊ทั้ง 11 ราย นั้น กลุ่มผู้ค้าส่วนใหญ่มีบัตรและทะเบียนการค้าที่ทำไว้กับเขตป้อมปราบฯ อย่างถูกต้อง และขายอยู่ในจุดผ่อนผันจึงไม่มีปัญหาใดๆพร้อมทั้งยืนยันว่าไม่เคยถูกเรียกเก็บเงินนอกระบบ นอกจากจ่ายค่าธรรมเนียมรักษาความสะอาดตามปกติ จึงรู้สึกไม่สบายใจที่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น โดยให้ข้อมูลว่า เหตุการณ์รุนแรงอาจเกิดจากการขัดผลประโยชน์ ของคน 2 กลุ่มที่นำทางเท้าสาธารณะนอกจุดผ่อนผันมาจับจองแบ่งให้ผู้ค้าเช่าและเกิดการทะเลาะทำร้ายกันเอง ซึ่งกลุ่มผู้ค้าได้ขอให้ กทม. เข้าไปแก้ไขโดยแบ่งประเภทผู้ค้า แยกทะเบียน และสีบัตร ให้ชัดเจนระหว่างผู้ค้าในจุดผ่อนผันและนอกจุดผ่อนผัน เพื่อจะได้ ไม่เป็นปัญหากระทบกับผู้ค้าที่ถูกต้องอยู่แล้ว--จบ--