กรุงเทพฯ--3 ก.พ.--กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์
กลุ่มบิวท์ฯ แจงผลประกอบการปี 59 ทำได้ตามเป้ากวาดยอดขายทั้งกลุ่ม 800 ล้านบาท ลุ้นเศรษฐกิจปีระกามีแววสดใสจากโครงการรัฐฯหนุน ย้ำจุดยืนเดินหน้าตอกย้ำผลงานคุณภาพ ประเดิมกลยทุธ์แรกจ่อส่ง 12 แบบบ้านใหม่กระตุ้นกำลังซื้อ ดันยอดขายทั้งกลุ่มปีนี้โตขึ้น 12%
สุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ บริษัทรับสร้างบ้านคุณภาพ ผู้นำธุรกิจรับสร้างบ้านคุณภาพ ซึ่งประกอบด้วย บริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด บริษัท บางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด และ บริษัท สมอลล์เฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับธุรกิจรับสร้างบ้านในปี 2559 ที่ผ่านมานั้น โดยภาพรวมแล้วค่อนข้างที่จะทรงตัว เนื่องด้วยปัจจัยต่างๆทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวกอปรกับภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้มีผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคมากพอสมควร แต่อย่างไรก็ตามสำหรับภาพรวมการดำเนินงานของกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ ในปีที่ผ่านมานั้น ยังคงสามารถรักษาเสถียรภาพของยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ที่ 800 ล้านบาท จากที่คาดหวังว่าจะเกินเป้าได้สักเล็กน้อย แต่เนื่องด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัวก็ถือว่าเป็นผลประกอบการที่น่าพอใจ แต่สิ่งหนึ่งที่สะท้อนภาพให้เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ แม้ในยามที่เกิดวิกฤติต่างๆ แต่กลุ่มผู้บริโภคที่มีความต้องการสร้างบ้านจริงๆ จะมีการวางแผนและศึกษาโปรไฟล์ของบริษัทรับสร้างบ้านไว้ล่วงหน้า จนมีความเชื่อมั่นในคุณภาพของงานก่อสร้างและการดำเนินงานจนเกิดความไว้วางใจที่จะปลูกสร้างกับบริษัทฯในที่สุด
สำหรับทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2560 นับว่ายังมีข่าวดีอยู่บ้าง ซึ่งเชื่อว่าเศรษฐกิจของประเทศจะค่อยๆฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ และจะเดินหน้าได้ดีกว่าในช่วงปี 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งจากการคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย หรือจีดีพี คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 3.5% เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่มีการเติบโตในระดับ 3.2%โดยมีผลสืบเนื่องจากการที่ภาครัฐได้มีการลงทุนเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่จะมีความคืบหน้าชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น รวมถึงมาตรการของภาครัฐที่ออกมากระตุ้นกำลังซื้อของภาคครัวเรือน และคาดการณ์ว่าจะมีผลทำให้ภาคเอกชนเพิ่มการลงทุนมากขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยที่สนับสนุนเศรษฐกิจไทยในปี 2560 รวมถึงส่งผลให้ธุรกิจอสังหาฯและธุรกิจรับสร้างบ้านดีขึ้นกว่าในปีที่ผ่านมา
นายสุธี กล่าวต่อว่า สำหรับในปี 2560 นี้ กลุ่มบริษัทฯตั้งเป้ารายได้ทั้งกลุ่มเติบโตขึ้นประมาณ 10 - 12% หรือมีรายได้ประมาณ 900 ล้านบาท โดยเชื่อว่ากำลังซื้อยังมีอยู่มากในกลุ่มผู้บริโภคที่มีความตั้งใจปลูกสร้างบ้าน ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อเศรษฐกิจไทยจะค่อยๆดีขึ้น โดยในส่วนของธุรกิจรับสร้างบ้านจะต้องเร่งปรับตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะปัจจุบันกลุ่มผู้บริโภคให้ความสำคัญในเรื่องของคุณภาพการก่อสร้างมากยิ่งขึ้น ทำให้มีการศึกษา เปรียบเทียบ และเลือกบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือและน่าไว้วางใจก่อนที่จะตัดสินใจปลูกสร้าง ผู้ประกอบการในธุรกิจรับสร้างบ้านยิ่งต้องพัฒนาศักยภาพ แบบบ้าน ฟังก์ชั่นการใช้งาน ควบคู่การบริการและการก่อสร้างให้มีคุณภาพมากขึ้น
โดยกลยุทธ์การตลาดในปีนี้เพื่อให้ลูกค้าทุกกลุ่มได้มีทางเลือกเพิ่มขึ้น ล่าสุดกลุ่มบริษัทบิวท์ ทู บิวด์ ได้ออกแบบบ้านรุ่นใหม่ จำนวนทั้งสิ้น 12 แบบ พื้นที่ใช้สอยประมาณ 200 – 450 ตารางเมตร ในระดับราคาตั้งแต่ 2 – 12 ล้านบาท ภายใต้คอนเซ็ปต์ "Family Area" ซึ่งมาจากการที่ได้ศึกษาและวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงที่ผ่านมา พบว่าปัจจุบันความต้องการสร้างบ้านของคนสมัยใหม่จะเน้นอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่มากขึ้น ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกในทุก Generation ทั้งยังสอดรับกับแนวโน้มที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย กลุ่มบริษัทฯ จึงเน้นการออกแบบบ้านที่มีฟังก์ชั่นการใช้งานช่วยสร้างความอบอุ่นและ Activities ภายในครอบครัวให้ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยมีองค์ประกอบในส่วนของพื้นที่ส่วนกลาง ( Family Area ) เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวได้มีช่วงเวลาในการทำกิจกรรมร่วมกัน อย่างในส่วนของห้อง Living Room ขนาดใหญ่ทั้งชั้น 1 และชั้น 2 ที่เน้นให้ความสำคัญมากขึ้น โดยแบบบ้านใหม่จะใช้นวัตกรรมก่อสร้างระบบโครงสร้างสำเร็จรูปที่มีความมั่นคง แข็งแรง และก่อสร้างได้ในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งเป็นที่ยอมรับในกลุ่มผู้บริโภคปัจจุบัน พร้อมคัดสรรวัสดุที่ดีมีคุณภาพได้มาตรฐานตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งในช่วงเปิดตัวแบบบ้านใหม่ทั้ง 12 แบบนี้ สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติม พร้อมรับราคาพิเศษสุดๆ ได้ที่ 02-721-3999 ภายใน 25 ก.พ. นี้
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังได้ขยายสำนักงานขายใหม่แห่งใหม่ล่าสุด ย่านถนนรามอินทรา 42 /1 ซึ่งถือว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพที่สามารถรองรับฐานลูกค้าได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น ทั้งในส่วนของพื้นที่โซนรามอินทรา ร่มเกล้า มีนบุรี บางเขน แจ้งวัฒนะ ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพการบริการรับสร้างบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจรมากยิ่งขึ้น พร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในช่วงที่ปลายปีที่ผ่านมา