กรุงเทพฯ--7 ก.พ.--ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย
นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัทไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด เผยว่าในปี 2017 โครงการที่ได้ชะลอการขายช่วงปลายปี 2016 ที่ผ่านมา จะทยอยเปิดตัวกันในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ส่วนของพื้นที่รอยต่อเขตกรุงเทพชั้นใน (Fringe Area) ยังคงมีโอกาสการพัฒนาที่ดี ความต้องการซื้อยังมี แต่อุปทานที่ดินสำหรับการพัฒนามีจำกัด โครงการที่เปิดขายในพื้นที่ดังกล่าวมีโอกาสประสบความสำเร็จในการขายสูง ระดับราคาอาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
อุปทานคอนโดมิเนียม ในย่านถนนสุขุมวิทตอนปลาย (ช่วงสุขุมวิทซอย 71 – บางนา) ในระยะสามปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละประมาณ 4,000 – 5,000 หน่วย โดยในช่วงปี 2016 มีอุปทานเพิ่มขึ้นมาใหม่ประมาณ 4,832 หน่วย ซึ่งในช่วงระยะสามปีที่ผ่านมา อุปทานใหม่ที่เข้ามามีจำนวนที่น้อยลง เนื่องจากโครงการเปิดตัวส่วนมากเป็นโครงการพัฒนาคอนโดมิเนียมที่มีจำนวนหน่วยต่อโครงการน้อยลง โดยเฉลี่ยโครงการที่เปิดตัวช่วยปี 2012 – 2013 มีจำนวนหน่วยต่อโครงการอยู่ที่ 465 หน่วย เทียบกับช่วงปี 2014 – 2016 ที่เฉลี่ยมีจำนวนหน่วยต่อโครงการอยู่ที่ 302 หน่วย
จากข้อมูลปี 2016 ทำเลนี้มีอุปทานใหม่รวมทั้งสิ้น 4,832 หน่วย โดยจากทั้งหมดนี้กว่าร้อยละ 64 เป็นหน่วยที่มาจากโครงการห้องชุดที่เป็นอาคารสูง (High Rise) ในขณะที่ร้อยละ 36 มาจากโครงการห้องชุดที่เป็นอาคารเตี้ย (Low Rise) หากจำแนกเป็นเกรดของคอนโดมิเนียม พบว่าคอนโดมิเนียมในทำเลนี้เป็นคอนโดมิเนียมเกรดบีมากที่สุด มีสัดส่วนร้อยละ 41 ของอุปทานทั้งหมด ตามด้วยคอนโดมิเนียมเกรดซี ที่มีสัดส่วนร้อยละ 37 ของอุปทาน ส่วนสุดท้ายร้อยละ 22 ของอุปทาน เป็นคอนโดมิเนียมเกรดเอ ซึ่งมีสัดส่วนที่สูงเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2015 ที่มีสัดส่วนคอนโดมิเนียมเกรดเอเพียงแค่ร้อยละ 15 ของอุปทานในทำเลนี้ ซึ่งหมายความว่าทำเลนี้มีศักยภาพในการเติบโตทางด้านราคาขาย เป็นที่น่าสนใจว่ามีตลาดคอนโดมิเนียมเกรดเอในบริเวณสุขุมวิทมีแนวโน้มการพัฒนาเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ตอนปลายตั้งแต่ปี 2015
ทั้งนี้ ในช่วงปี 2016 มีอุปสงค์สะสมคอนโดมิเนียมย่านสุขุมวิทตอนปลายอยู่ที่ 33,133 หน่วย จากอุปทานสะสมทั้งหมด 40,823 หน่วย คิดเป็นยอดขายสะสมที่ร้อยละ 81.2 ซึ่งต่ำลงกว่ายอดขายสะสมของปี 2015 เพียงเล็กน้อย หากคิดเป็นอุปสงค์รายปี พบว่าจำนวนหน่วยที่ถูกขายไปในปี 2016 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,771 หน่วย น้อยลงกว่าจำนวนที่ถูกขายใน 4 – 5 ปีก่อนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากว่ามีการชะลอตัวในการตลาดจากผู้พัฒนาโครงการในช่วงท้ายของปี ส่งผลให้ยอดขายคอนโดมิเนียมในปี 2016 ต่ำกว่าปีก่อน ๆ หน้า อย่างไรก็ตาม จำนวนอุปทานใหม่ในแต่ละปีที่สูงกว่าอุปสงค์ไม่มากจนเกินไป ประกอบกับอัตรายอดขายสะสมที่สูง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในทำเลนี้
ระดับราคาคอนโดมิเนียมย่านสุขุมวิทตอนปลาย (ซอยสุขุมวิท 71 – บางนา) มีอัตราการเติบโตสะสมต่อปี (CAGR) อยู่ที่ประมาณร้อยละ 9.78 ต่อปี โดยคอนโดมิเนียมในย่านสุขุมวิทตอนปลายในปี 2016 มีราคาขายสูงสุดอยู่ที่ตารางเมตรละ 163,673 บาท และต่ำสุดอยู่ที่ตารางเมตรละ 74,150 บาท ค่าเฉลี่ยในบริเวณทั้งหมด มีราคาขายอยู่ตารางเมตรละ 101,493 บาท หากเปรียบเทียบดูการเติบโตของราคา พบว่ามีการเติบโตของราคาที่สูง คอนโดมิเนียมที่อยู่ที่ไม่เกิน 85,000 บาทต่อตารางเมตร จึงถือว่าเป็นราคาที่ดีเมื่อเทียบกับตลาด และยังคงมีช่องว่างของราคาที่เพิ่มขึ้นตามค่าเฉลี่ยของทำเลที่มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของราคา
นายพนม กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการเดอะนิชโมโน สุขุมวิท 50 เป็นอาคารคอนโดมิเนียม 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 434 ยูนิต มีราคาขายเริ่มต้น 2.2 ล้าน ที่ 82,000 บาทต่อตารางเมตร ตกแต่งแบบพร้อมอยู่ (Fully Furnished) เมื่อเปรียบเทียบกับราคาในตลาดโดยเฉลี่ยแล้วถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสมคุ้มค่ากับการลงทุนหรือซื้อเพื่ออยู่อาศัย ประกอบกับจุดขายที่โดดเด่นเรื่องการประหยัดพลังงานจากแผงโซล่าเซลล์ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องค่าไฟส่วนกลาง ซึ่งจะเป็นการประหยัดเงินเรื่องค่าส่วนกลางให้กับผู้อยู่อาศัยได้ในระยะยาว ประกอบกับการบริการหลังการขายของเสนา บริการแจ้งซ่อมออนไลน์ 24 ชั่วโมง บริการรับฝากขายและเช่า