LH BANK เผยกลยุทธ์ปี 60 เน้นธุรกรรมดิจิตอล ผ่านทุกบริษัทในกลุ่มการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday February 9, 2017 16:13 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--9 ก.พ.--ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ นางศศิธร พงศธร (ฉัตรศิริวิชัยกุล) กรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH Bank)แถลงผลการดำเนินงานปี 2559 ของกลุ่มการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ว่า ปี 2559 เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีจากปีก่อนที่อยู่ที่ร้อยละ 2.8 เป็นประมาณร้อยละ 3.2 จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมาอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ผลการดำเนินงานของธนาคารสามารถทำได้ดี และคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2560 จะขยายตัวได้ดีจากปี 2559 จากปัจจัยหนุนหลักๆ ได้แก่ การฟื้นตัวของการส่งออก การลงทุนของเอกชน การลงทุน "เมกะโปรเจกต์" ของภาครัฐขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนธุรกิจภาคการท่องเที่ยวและโรงแรม อันเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ ผลการดำเนินงานปี 2559 บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (LHBANK) มีกำไรสุทธิ 2,696 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 63.3 หลักๆ มาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 ตามการขยายตัวของสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 5.7 รวมทั้งรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนสูงถึงร้อยละ 80.8 มาจากกำไรจากเงินลงทุน เงินปันผล ตลอดจนรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.1 สะท้อนถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวม (Cost-to-Income Ratio) ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 37.3 จากปีก่อนอยู่ที่ร้อยละ 43.3 สินทรัพย์รวมอยู่ที่ 212,147 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนร้อยละ 6.3 เป็นผลมาจากการเติบโตของสินเชื่อ ร้อยละ 5.7โดยมีสัดส่วนโครงสร้างสินเชื่อ Corporate ร้อยละ 65 สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อ SMEs อยู่ที่ร้อยละ 20 และร้อยละ 15 ตามลำดับ มีสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 1.76 ของเงินให้สินเชื่อรวม สะท้อนให้เห็นถึงการควบคุมคุณภาพของสินเชื่ออยู่ในเกณฑ์ดี และการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสำรองพึงกันที่ร้อยละ 185 และอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ร้อยละ 120 จึงมีความแข็งแกร่งด้านเงินสำรองและสามารถรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจในอนาคต ด้านการดำเนินธุรกิจยังคงมุ่งเน้นความเชื่อมโยงกันของกลุ่มการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ โดยการนำผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทในกลุ่มมาเพิ่มช่องทางบริการด้านการเงินให้สมบูรณ์ ครบวงจร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า เช่น ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ร่วมกับ บมจ. หลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ให้บริการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ Online ผ่านเว็บไซต์www.lhbankspeedy.com โดยใช้รหัสผู้ใช้งานเดียวกัน (Single Sign On) ซึ่งทำให้ง่ายต่อการใช้บริการ อาทิ การเปิดบัญชีหุ้นและอนุพันธ์ การชำระค่าซื้อ/ฝากเงิน/โอนเงินหลักประกันการหักบัญชีอัตโนมัติ การดูข้อมูลพอร์ตการลงทุน เป็นต้น ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าในการเข้าถึงการลงทุนหุ้นหรืออนุพันธ์ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องล็อกอินอีกครั้ง ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ร่วมกับ บลจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ในการออกผลิตภัณฑ์กองทุนรวมต่างๆ ร่วมกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินของธนาคาร การเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหวในพอร์ตการลงทุนผ่าน Internet Banking ของธนาคารที่สามารถดูยอดคงเหลือในบัญชีกองทุน ดูกำไร ขาดทุน ในพอร์ตการลงทุน เป็นต้น สำหรับความคืบหน้าการร่วมเป็นพันธมิตรกับ CTBC บริษัทได้รับแจ้งจาก CTBC ว่าปัจจุบันอยู่ในระหว่างการพิจารณาอนุญาตจากทางการใต้หวัน นางศศิธร แถลงแผนธุรกิจปี 2560 ว่าเป้าการเติบโตของสินเชื่ออยู่ที่ร้อยละ 6-10 และเพิ่มความระมัดระวังในการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์และสินเชื่อ โดยจะควบคุมอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL-to-Loan Ratio) ไม่เกินร้อยละ 1.80 กลยุทธ์การขยายสินเชื่อ ฐานเงินฝาก และการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม ธนาคารจะกำหนดเป้าหมายลูกค้าที่ชัดเจน หรือการทำ Customer Segmentation เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์และตรงกับ ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าแต่ละกลุ่ม การลดต้นทุนทางการเงินด้วยการขยายฐานเงินฝากต้นทุนต่ำ การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ โดยรักษาระดับ Cost-to-Income ไม่เกินร้อยละ 45 ซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยีเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลดีต่อต้นทุนในระยะยาว ตลอดจนการพัฒนาศักยภาพและองค์ความรู้ของพนักงาน โดยเฉพาะพนักงานสาขาจะมีการปรับบทบาทหน้าที่ให้เป็นที่ปรึกษาด้านการเงิน ตลอดจนเป็นนักวางแผนการเงินให้ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากการลงทุนและการออมสูงสุด นางศศิธร กล่าวเพิ่มเติมว่า ใน 2-3 ปีที่ผ่านมาธนาคารได้เน้นพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเข้าสู่ธนาคารดิจิตอล หรือ Digital Banking อย่างเต็มตัว ซึ่งจากนี้ไปเทคโนโลยีที่ทันสมัย ความสะดวกสบาย ปลอดภัย และรวดเร็วจะเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ รวมทั้งการทำ Big Data Analysis เพื่อช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้เหมาะกับความต้องการของลูกค้าในเชิงลึกมากขึ้น สำหรับ Platform ที่พัฒนาบริการ เช่น - แอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ หรือ Mobile Banking Application ที่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้สะดวกและรวดเร็ว ทุกวัน ทุกที่ ทุกเวลา และมีความปลอดภัยสูง - การออกบัตรเดบิตร่วมกับ UnionPay ที่สามารถเบิกถอนเงินสดหรือซื้อสินค้าจากร้านค้าต่างๆ ได้ทั่วโลก ที่มากับมาตรฐานความปลอดภัยด้วยบัตร LH Bank Debit Chip Card ที่มีความปลอดภัยสูง ป้องกันการปลอมแปลงจากภัยSkimmer - บริการ LH Bank PromptPay (พร้อมเพย์) เป็นบริการรับ-โอนเงินรูปแบบใหม่ เพื่อลดการพกพาเงินสด โดยการผูกบัญชีเงินฝากของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กับหมายเลขบัตรประชาชนหรือหมายเลขโทรศัพท์มือถือก็สามารถรับ-โอนเงินได้ง่ายๆ เพียงใช้หมายเลขบัตรประชาชนหรือหมายเลขโทรศัพท์มือถือโดยไม่ต้องใช้เลขที่บัญชีเงินฝาก สามารถใช้บริการLH Bank PromptPay ผ่าน 4 ช่องทาง ได้แก่ 1. โทรศัพท์มือถือ (LH Bank M Choice) 2. อินเตอร์เน็ตแบงกิ้ง (LH Bank Speedy) 3. ตู้ ATM LH Bank 4. สาขาของธนาคาร สำหรับการขยายเครือข่ายสาขาของ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ปัจจุบันมีสาขารวม 133 สาขา แบ่งเป็นสาขาในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 47 สาขา และสาขาในภูมิภาค 86 สาขา หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35 และร้อยละ 65 ตามลำดับ กลยุทธ์สาขาจะมุ่งเน้นด้านการให้บริการที่มีคุณภาพ เป็นที่ปรึกษาด้านการเงินและ การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจจากลูกค้า และการปรับรูปแบบการให้บริการให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้ามากขึ้น ธนาคารได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรโดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ "A-" (Single A Minus) และอันดับเครดิตตราสารหนี้ประเภทหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ที่ระดับ "BBB" (Triple B Straight) และเครดิตพินิจ (Credit Alert) แนวโน้ม "Positive" แสดงให้เห็นถึงสถานะทางธุรกิจและการเงิน ของธนาคารที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีและมีเงินทุนที่แข็งแกร่ง นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (LH Fund)รายงานภาพรวมผลการดำเนินงานการบริหารจัดการกองทุนในปี 2559 อยู่ในระดับที่น่าพอใจ แม้ปีที่ผ่านมาต้องเผชิญกับภาวะตลาดเงินตลาดทุนที่ค่อนข้างผันผวนจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุน ปี 2559 LH Fund มีขนาดกองทุนรวมที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการทั้งสิ้นประมาณ 64,200 ล้านบาท แบ่งเป็น กองทุนรวม กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) รวมกันเพิ่มขึ้นร้อยละ 29 เมื่อเทียบกับปี 2558 และมีส่วนแบ่งการตลาดในอุตสาหกรรมเป็นอันดับที่ 10 จากทั้งหมด 22 บลจ.ซึ่งการเติบโตดังกล่าวดีกว่าภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนที่มีขนาดกองทุนโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 ส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีขนาดกองทุนอยู่ที่ 2,200 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 23 กองทุนส่วนบุคคล มีขนาดกองทุนอยู่ที่ 3,500 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 210 ซึ่งบริษัทมีกองทุนที่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีและได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจาก Morningstar ได้แก่ กองทุนเปิด แอล เอช โกรท (LHGROWTH) กองทุนเปิด แอล เอช ตราสารหนี้ ชนิดจ่ายเงินปันผล(LHDEBT-D) กองทุนเปิด แอล เอช ไทย พร็อพเพอร์ตี้ (LHTPROP) กองทุนเปิด แอล เอช เฟล็กซิเบิ้ล (LHFL) และกองทุนเปิด แอล เอช เฟล็กซิเบิ้ลเพื่อการเลี้ยงชีพ (LHFLRMF) สำหรับปี 2560 LH Fund มีแผนออกกองทุนใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในไทยและในต่างประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกในการกระจายการลงทุนและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี รวมทั้งวางเป้าหมายที่จะเพิ่มขนาดกองทุนภายใต้การบริหารจัดการเพิ่มขึ้นอีก ร้อยละ 15-20 และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในอุตสาหกรรมให้มากขึ้น โดยอาศัยความเชี่ยวชาญการบริหารจัดการภายใต้กลยุทธ์ Asset Allocation ที่กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน นางสาวเยาวลักษณ์ อร่ามทวีทอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH Securities) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปี 2559 เติบโตเป็นที่น่าพอใจแม้จะได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอกแต่ด้วยพื้นฐานประเทศที่แข็งแกร่งภายใต้การขับเคลื่อนจากนโยบายภาครัฐ และศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนไทยที่ปรับตัวรับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี ทำให้มีการเติบโตที่ดีและโดดเด่น เมื่อเทียบกับตลาดอื่นในภูมิภาค ตลาดทุนไทยมีศักยภาพแข็งแกร่งต่อเนื่องในระดับภูมิภาค โดยดัชนี SET Index ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2559 ปิดที่ 1,542.94 จุด สร้างผลตอบแทนเติบโตถึงร้อยละ 19.79 และสภาพคล่องสูงเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคติดต่อกันเป็นปีที่ 5 อยู่ที่ 52,525.6 ล้านบาทต่อวัน สัดส่วนมูลค่าการซื้อขายของผู้ลงทุนบุคคลและสถาบัน (ไม่นับรวมบัญชีหลักทรัพย์) อยู่ที่ร้อยละ 53 และ 47 โดยมีผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิสูงถึง 78,545.9 ล้านบาท ปี 2559 บริษัทมีกำไรสุทธิ จำนวน 105.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 642.43 เมื่อเทียบกับปี 2558 เป็นรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจำนวน 90.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 70.67 ซึ่งเป็นผลจากการทำการตลาดและการขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ร้อยละ 0.41 เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 จากปี 2558 แผนธุรกิจปี 2560 บริษัทได้พัฒนาระบบเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันและเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในการใช้บริการ การขยายสาขาให้ครอบคลุม การพัฒนาคุณภาพของบุคลากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ การให้คำแนะนำการลงทุน และการเปิดให้บริการผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ ตลอดจนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ