กรุงเทพฯ--10 ก.พ.--บลจ.กสิกรไทย
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ. กสิกรไทย มีกำหนดจ่ายเงินปันผลกองทุนต่างประเทศจำนวน 3 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน (K-USA) ในอัตรา 0.35 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2559 - 31 มกราคม 2560 กองทุนเปิดเค ยูโรเปียน หุ้นทุน (K-EUROPE) ในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2559 - 31 มกราคม 2560 และกองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุน (K-INDIA) ในอัตรา 0.15 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 - 31 มกราคม 2560 โดยทั้ง 3 กองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 31 มกราคม 2560 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลพร้อมกันในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 491.61 ล้านบาท
นายนาวินกล่าวต่อไปว่า ผลการดำเนินงานของกองทุน K-USA ในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา สามารถปรับตัวเป็นบวกกว่า 9% (ข้อมูล ณ 31 ม.ค. 60) เนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการตอบรับในเชิงบวกต่อนโยบายการบริหารประเทศของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ขณะที่หุ้นกลุ่มไอทีซึ่งกองทุนหลักให้น้ำหนักมากกว่าเกณฑ์มาตรฐานมีการเติบโตโดดเด่น ประกอบกับกลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และพิจารณาคุณภาพของบริษัทที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืนด้วยมุมมองการลงทุนในระยะยาว จึงส่งผลให้กองทุนมีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามในระยะสั้นซึ่งอาจส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ คือนโยบายเพิ่มเติมของทรัมป์ที่จะทยอยประกาศออกมาภายหลังเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ที่อาจสร้างบรรยากาศทั้งเชิงบวกและลบต่อการลงทุน รวมถึงต้องติดตามจังหวะในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในปีนี้ โดยตลาดให้ความเป็นไปได้ที่ FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน 2560 อยู่ที่ 46% (ที่มา: Bloomberg, 6 ก.พ. 2560)
ด้านผลการดำเนินงานของกองทุน K-EUROPE ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา สามารถปรับตัวเป็นบวกกว่า 2% (ข้อมูล ณ 31 ม.ค. 60) ทั้งนี้มุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปปี 2560 นี้ มองว่ายังมีความน่าสนใจด้วยราคาหุ้นที่ยังอยู่ในระดับที่น่าลงทุนกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในยุโรปยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี จากอุปสงค์ภายในที่เติบโตแข็งแกร่ง ประกอบกับการดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังเป็นปัจจัยช่วยหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ต้องติดตามคือประเด็นทางการเมืองภายในภูมิภาคที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน อาทิ การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในหลายประเทศ เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศส และประเด็นเรื่อง Brexit ซึ่งนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษเตรียมเปิดเผยแผนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้
ส่วนผลการดำเนินงานของกองทุน K-INDIA ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 17.52% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 15.99% จากการที่กองทุนหลักเน้นให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก และกลุ่มธุรกิจที่ผลประกอบการขยายตัวได้ดีจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัว รวมถึงกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการปฏิรูปประเทศ อาทิ ธุรกิจสุขภาพ ไอที และสินค้าอุปโภค นอกจากนี้กองทุนหลักยังใช้กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นหลากหลายขนาด (Multi-Cap) จึงช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กองทุน
"บลจ.กสิกรไทย มองว่าตลาดหุ้นอินเดียมีความน่าสนใจเข้าลงทุนและมีแนวโน้มเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น โดยที่ผ่านมาผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในอินเดียเติบโตอย่างแข็งแกร่งและหนุนตลาดหุ้นอินเดียให้ปรับตัวขึ้นนำประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2560 ปรับตัวขึ้นกว่า 6.5% (ที่มา: Bloomberg, 6 ก.พ. 2560) นอกจากนี้ IMF คาดการณ์ว่า GDP ในปี 2560 ของอินเดีย จะเติบโตอยู่ที่ 7.6% ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดในโลก โดยปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจจะมาจากการปฏิรูปภาครัฐที่มีความคืบหน้า โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างภาษีการค้าและบริการ (GST Act) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในภาคการผลิต และการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อของอินเดียที่ยังชะลอตัว อาจทำให้ธนาคารกลางอินเดียสามารถดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพิ่มเติมได้" นายนาวินกล่าว
ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน K-USA กองทุน K-EUROPE และกองทุน K-INDIA สามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือติดต่อ KAsset Contact Center 02673 3888