กรุงเทพฯ--14 ก.พ.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บมจ. บูรพา เทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง (ETE) ผู้ให้บริการบริหารจัดการบุคลากร และระบบงานธุรกิจ บริการงานวิศวกรรม รวมถึงธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai 15 ก.พ. นี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 2,352 ล้านบาท
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บมจ. บูรพา เทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง (ETE) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในกลุ่มบริการ ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ โดย ETE และบริษัทย่อย ดำเนินธุรกิจ 3 ด้าน ได้แก่ 1) ธุรกิจให้บริการบริหารจัดการบุคลากร บริหารจัดการระบบงานธุรกิจ และงานบริหารจัดการรถเช่าพร้อมพนักงานขับรถ 2) ธุรกิจให้บริการงานวิศวกรรมระบบไฟฟ้า และระบบโทรคมนาคม และ 3) ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเปิดดำเนินงานแล้ว 4 โครงการ รวม 16.47 เมกะวัตต์
ETE มีทุนชำระแล้ว 280 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 420 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 140 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 7-9 กุมภาพันธ์ 2560 ในราคาหุ้นละ 4.20 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 588 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 2,352 ล้านบาท มีบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัดเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายไรวินท์ เลขวรนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บูรพา เทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง (ETE) เปิดเผยว่า บริษัทดำเนินธุรกิจมากว่า 20 ปี ปัจจุบันให้บริการบริหารจัดการทั้งด้านบุคลากรในรูปแบบ outsourcing และระบบงานธุรกิจ งานบริการด้านวิศวกรรมระบบไฟฟ้าและระบบโทรคมนาคม โดยมีกลุ่มลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้ ในช่วงปี 2559 ที่ผ่านมา บริษัทได้ขยายธุรกิจในกลุ่มธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งปัจจุบันมีขนาดกำลังการผลิตรวม 16.47 เมกะวัตต์ โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปชำระคืนเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
ETE มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มนายไรวินท์ เลขวรนันท์ และญาติสนิท ถือหุ้น 57.33% กลุ่ม นายทวีศักดิ์ วงศ์ศุภชาติ และญาติสนิท ถือหุ้น 3.35% และนายยศทัศน์ สมหวังทรัพย์ ถือหุ้น 2.34% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) ที่ 174.61 เท่า คำนวณจากผลประกอบการในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (1 ตุลาคม 2558-30กันยายน 2559) ซึ่งเท่ากับ 13.47 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.024 บาท โดยยังมิได้มีการพิจารณาถึงผลการดำเนินงานที่จะได้รับจากการประกอบธุรกิจพลังงานทดแทนจากพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ของกลุ่มบริษัทที่จะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2560 เป็นต้นไป เป็นระยะเวลา 25ปี ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีและสำรองตามกฎหมายตามที่ได้กำหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัทและกฎหมาย
รายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่www.eastern-groups.com และที่เว็บไซต์ www.set.or.th