กรุงเทพฯ--16 ก.พ.--สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับ พลเอกอนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ว่า การประชุมครั้งนี้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากทั้งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพลังงานหารือร่วมกัน เพื่อสร้างความเข้าใจให้ตรงกันว่าปัจจุบันมีกี่บริษัทเอกชนที่เช่าพื้นที่ของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ( ส.ป.ก.) ดำเนินการเกี่ยวกับการผลิตกระแสไฟฟ้าจากกังหันลม หรือ วินด์ฟาร์ม ซึ่งปัจจุบันได้ข้อยุติแล้วว่ามีทั้งหมด 15 บริษัท แบ่งเป็น ดำเนินการผลิตและจำหน่ายไฟแล้ว 5 บริษัท อีก 10 บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง
ขณะเดียวกัน ยังได้แจ้งขั้นตอนดำเนินการของ ส.ป.ก.ให้ทางกระทรวงพลังงานรับทราบว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้เลขาฯ ส.ป.ก.เร่งดำเนินการสำรวจข้อเท็จจริงว่าทั้ง 15 บริษัทได้ดำเนินการตามสัญญาหรือไม่ ในระยะเวลา 45 วัน เพื่อให้เกิดความชัดเจนและความถูกต้องเป็นไปตามข้อกำหนดกฎหมาย ก็ต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้งอย่างละเอียดทั้ง 15 บริษัท โดยแบ่งการตรวจสอบเป็น 2 ส่วน คือ 1. รายละเอียดในสัญญาของทั้ง 15 บริษัท และหลักฐานที่แต่ละบริษัทสามารถแสดงได้ว่าได้ดำเนินการที่เกษตรกรได้รับประโยชน์จริงตามสัญญา และ 2. การตรวจสอบข้อมูลจากเกษตรกรในพื้นที่ว่าได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจริงหรือไม่อย่างไร โดยยึดเอาบรรทัดฐานจากศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยกเลิกโครงการกังหันลม เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าของ บริษัท เทพสถิต วินด์ฟาร์ม เนื่องจากชี้ชัดว่าเกษตรกรไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากกิจกรรมของบริษัท" พลเอก ฉัตรชัย กล่าว
นอกจากนี้ ยังได้หารือกับรมว.พลังงาน ว่ากรณีบริษัทใดไม่ปฏิบัติตามที่ได้ตกลงไว้ ทางกระทรวงพลังงานจะเตรียมการหาพลังงานทดแทนต่อไป ซึ่งทั้งสองกระทรวงจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยหลังจากได้ผลการตรวจสอบ ครบ 45 วัน กระทรวงเกษตรฯ ก็จะรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรว่าบริษัทใดทำอย่างถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอย่างไร เพื่อจะได้เตรียมการในส่วนเกี่ยวข้องต่อไป
พลเอกฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า กรอบระยะเวลา 45 วันที่กระทรวงเกษตรฯ กำหนดไว้ ทางกระทรวงพลังงานก็เห็นด้วยว่าเหมาะสม เนื่องจากหลายบริษัทมีห้วงสัญญาว่าต้องจ่ายไฟเมื่อไหร่อย่างไร ซึ่งระหว่างการตรวจสอบระยะเวลาของสัญญาก็เดินไป จึงคาดว่าระยะเวลา 45 วัน เพื่อตรวจสอบทั้งข้อมูลที่ได้จากบริษัท และภาคสนามที่จะไปสอบถามเกษตรกร ดูจากข้อมูลจริงในพื้นที่ว่าให้ประโยชน์กับเกษตรกรโดยตรง เช่น มีการจัดตั้งกองทุนฯ การสนับสนุนปัจจัยการผลิต ที่หรือทางอ้อม เช่น มีการสร้างถนน เกิดเส้นทางที่สามารถขนส่งสินค้าเกษตรได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ทางอ้อม ทั้งหมดก็ต้องเอามาพิจารณากัน โดยระหว่างการตรวจสอบทั้ง 5 บริษัทที่ดำเนินการอยู่ก็ดำเนินการต่อไปได้ตามปกติจนกว่าจะได้ข้อสรุปจากผลการตรวจสอบอีกครั้ง