กรุงเทพฯ--17 ก.พ.--ไทยประกันชีวิต
นางวรางค์ ไชยวรรณ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันจัดอันดับเครดิตทางการเงินระดับโลก ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) ได้ประกาศคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ โดยอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล (International Insurer Financial Strength (IFS)) อยู่ที่ระดับ BBB+ และอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ (National Insurer Financial Strength) อยู่ที่ระดับ AAA(tha) แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
ทั้งนี้ ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประเมินว่า ไทยประกันชีวิตมีโครงสร้างเงินกองทุนที่แข็งแรง สะท้อนจากสัดส่วนเงินกองทุนต่อเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมาย (Risk-Based Capital - RBC) ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2559 อยู่ที่ 313% ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดไว้ที่ 140% ขณะที่ผลประเมินระดับความแข็งแกร่งในด้านเงินกองทุนตามประมาณการตามแบบจำลองของ Prism Factor-Based Capital Model (Prism FBM) อยู่ในระดับ "แข็งแกร่งมาก" (Very Strong)
เช่นเดียวกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่มีอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันรับรวมอย่างต่อเนื่อง และมีผลตอบแทนการลงทุนที่สม่ำเสมอ โดยไทยประกันชีวิตยังคงรักษาฐานการเป็นบริษัทประกันชีวิตขนาดใหญ่ระดับต้นๆ ของประเทศ ในด้านเบี้ยประกันรับรวม มีส่วนแบ่งการตลาดที่ 14.1% ซึ่งฐานทางการตลาดที่แข็งแกร่งนี้ ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการวางตำแหน่งทางการตลาดที่ชัดเจน จากการมุ่งเน้นการขยายตลาดผ่านช่องทางตัวแทนเป็นหลัก รวมถึงการมีเครือข่ายธุรกิจมาอย่างยาวนานกว่า 75 ปี อันเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นให้แก่ผู้เอาประกันได้เป็นอย่างดี
ขณะเดียวกัน ฟิทช์ฯ เชื่อมั่นว่า การมีพันธมิตรที่มีศักยภาพ คือ บริษัท เมจิ ยาซึดะ ไลฟ์ อินชัวรันส์ จำกัด บริษัทประกันชีวิตยักษ์ใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น จะสามารถให้การสนับสนุนด้านเทคนิคและการดำเนินงาน ทั้งด้านการบริหารความเสี่ยง การพัฒนาความสามารถในการแข่งขันด้านการขายและผลิตภัณฑ์ รวมถึงการขยายฐานลูกค้าชาวญี่ปุ่นในไทย เพื่อเตรียมความพร้อมก้าวสู่การแข่งขันในระดับสากลได้อย่างแข็งแกร่งอีกด้วย
นางวรางค์กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการพิจารณาอันดับเครดิตของฟิชท์ฯ มาจากนโยบายการลงทุนที่รอบคอบและระมัดระวังของบริษัทฯ เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง และมีความเสี่ยงต่ำ โดยการลงทุนส่วนใหญ่เป็นตราสารหนี้ เงินสด และเงินฝาก คิดเป็นสัดส่วน 82% ของสินทรัพย์การลงทุนรวม และลงทุนในตราสารทุนในสัดส่วนไม่เกิน 10% ของสินทรัพย์การลงทุนรวม ส่งผลให้ระดับเงินกองทุนเมื่อเทียบกับความเสี่ยงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
"บริษัทฯ ให้ความสำคัญต่อความมั่นคงทางการเงิน เพื่อสร้างความไว้วางใจแก่ผู้เอาประกัน รวมถึงสร้างอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งขยายตลาดผ่านตัวแทนเป็นช่องทางหลัก ควบคู่กับการขยายตลาดผ่านช่องทางการขายใหม่ๆ อาทิ Bancassurance Direct Sale หรือ Online การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ รวมถึงพัฒนานวัตกรรมด้านสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มุ่งดำเนินนโยบายการบริหารและจัดการการลงทุนอย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาระดับเงินกองทุนเมื่อเทียบกับความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ดีอยู่เสมอ โดยจัดตั้งทีมบริหารจัดการความเสี่ยง เพื่อรองรับสถานการณ์ในภาวะต่างๆ อันเป็นการเตรียมความพร้อมในการขยายธุรกิจ รองรับการเติบโตสู่ระดับอาเซียนและสากล" นางวรางค์กล่าว