“คาร์ฟูร์” ชี้ไทยเดินตามรอยค้าปลีกยุโรป คาด 4 ค่ายยักษ์ขยายสาขาครบ 300 แห่งประกาศเปิดสาขาใหม่เกือบ 10 แห่งภายในปี 45

ข่าวทั่วไป Monday November 27, 2000 11:01 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--27 พ.ย.--คาร์ฟูร์ ไฮเปอร์มาร์เก็ต
นายมาร์ค อัวแซง กรรมการผู้จัดการบริษัท เซ็นคาร์ ผู้บริหารคาร์ฟูร์ ไฮเปอร์มาร์เก็ต เปิดเผยว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แนวโน้มของธุรกิจค้าปลีกประเภทดิสเคาน์สโตร์ในไทยมีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายกิจการของกลุ่มค้าปลีกข้ามชาติราย ใหญ่ 4 ราย ดือ คาร์ฟูร์ ไฮเปอร์มาร์เก็ต เทสโก้-โลตัส ซูเปอร์มาร์เก็ต บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ และแม็คโคร ซูเปอร์เซ็นเตอร์ โดยในปี 2541 จำนวนดิสเคาน์สโตร์ในไทยมีเพียง 54 แห่งทั่วประเทศ และเพิ่มเป็น 60 แห่งในปี 2542 ปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นเป็น 74 แห่ง คาดว่าในปีหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 91 แห่ง และ 150 แห่งในปี 2545 จนกระทั่งครบ 300 แห่งในปี 2553
สำหรับคาร์ฟูร์ ไฮเปอร์มาร์เก็ต มีแผนขยายสาขาการลงทุน เพิ่มขึ้นอีก 4 แห่งในปีหน้า เช่น สาขารัชดาภิเษก ที่มีกำหนดเปิดให้บริการ ในเดือนมิถุนายน และมีแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 3-5 แห่งในปี 2545 ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ครบ 20 แห่งทั่วประเทศ ภายในปี 2545 นอกจากนี้ ตั้งเป้าหมายครองความเป็นผู้นำด้านยอดขายของ กิจการค้าปลีกประเภทดิสเคาน์สโตร์ในกรุงเทพฯ ภายในปี 2545 หรืออีก 2 ปีนับจากนี้ และครองความเป็นผู้นำตลาดด้านจำนวนสาขาและยอดขายร่วม กับบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ และเทสโก้-โลตัส ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ในอีก 5 ปีข้างหน้า “ปัจจัยที่จะทำให้บริษัทบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ การขยาย สาขาอย่างต่อเนื่อง และการปรับปรุงสาขาเดิมให้ทันสมัยขึ้น โดยร่วมมือกับ ซัพพลายเออร์ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์การทำตลาดที่นอกเหนือไปจากกลยุทธ์หลัก ที่ดิสเคาน์สโตร์ยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศทุกค่ายนำมาใช้ในการทำตลาด คือ 1.มุ่งเน้นการขยายสาขาขนาดใหญ่ 2.ที่จอดรถขนาดใหญ่ 3.สินค้าหลากหลาย และ 4.ราคาต่ำ” นายอัวแซงกล่าว
ส่วนผลการดำเนินงานในปีนี้คาดว่า จะมียอดขายรวม 12,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 40% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ มีการสนับสนุนซัพพลายเออร์ที่จำหน่ายสินค้าในคาร์ฟูร์ นำสินค้าส่งออกไป จำหน่ายยังสาขาคาร์ฟูร์ในต่างประเทศ คิดเป็นมูลค่า 1,000 ล้านบาทต่อปี “การที่คาร์ฟูร์เข้ามาขยายธุรกิจในไทย ไม่ได้ต้องการทำให้ผู้ ประกอบการค้าปลีกรายย่อยในประเทศเดือดร้อน แต่จะเข้ามาช่วยการทาน อำนาจการต่อรอง และแข่งขันด้านการตลาดระหว่างดิสเคาน์ข้ามชาติด้วยกัน เอง ตลอดจนทานอำนาจต่อรองของห้างสรรพสินค้า เพื่อให้ผู้บริโภคมีโอกาส ในการเลือกซื้อสินค้ามากขึ้น” นายอัวแซงกล่าว--จบ--
-สส-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ