TK กำไรปี 59 429.6 ล้านบาท ลูกหนี้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์เพิ่ม 11.6% โตกว่าตลาดรวม 2.9 เท่า ประกาศจ่ายปันผล 225 ล้านบาท

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday February 27, 2017 10:36 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--27 ก.พ.--24 คูณ 7 บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์รายใหญ่ในประเทศไทย รายงานผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีกำไรจากการดำเนินงานรวมในปี 2559 เพิ่มขึ้น 5.2% จาก 408.3 ล้านบาทในปี 2558 มาเป็น 429.6 ล้านบาท ประกาศจ่ายปันผล 225 ล้านบาท หรือ 0.45 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 18 พฤษภาคม 2560 และปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 13 มีนาคม 2560 นางสาวปฐมา พรประภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK เปิดเผยผลประกอบการประจำปี 2559 ว่ากำไรจากผลการดำเนินงานรวมเพิ่มขึ้น 5.2% หรือมีกำไรสุทธิ 429.6 ล้านบาท จากปัจจัยบวกด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ประกอบกับตลาดรถจักรยานยนต์ในปีที่ผ่านมามีการขยายตัวเพิ่มขึ้น 4% ที่ 1,738,254 ล้านคัน ส่งผลให้จำนวนมีผู้ใช้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 ปี โดยจำนวนลูกหนี้เช่าซื้อสุทธิและลูกหนี้ให้กู้ยืมสุทธิของบริษัทฯ จนถึงปลายปี 2559 อยู่ที่ 7,723.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6.5% ในขณะที่ลูกหนี้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ขยายตัว 11.6% หรือ 2.9 เท่าของตลาดรถจักรยานยนต์ นอกจากการเติบโตจากตลาดเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ภายในประเทศแล้ว ในปี 2559 ที่ผ่านมา TK ยังได้ขยายธุรกิจเช่าชื้อรถจักรยานยนต์ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ตามแผนธุรกิจของบริษัทฯ ในการเพิ่มสัดส่วนรายได้และลูกหนี้เช่าซื้อภูมิภาคเพิ่มขึ้น โดยในปี 2559 TK ได้เปิดสาขาเพิ่มอีก 2 แห่งในกัมพูชา เมื่อรวมผลประกอบการของบริษัทในราชอาณาจักรกัมพูชาและในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีอัตราการเติบโต 346.9% ทั้งนี้ ทั้งสองบริษัทเริ่มมีกำไรจากการดำเนินงานตั้งแต่ไตรมาส 2 ในปีที่ผ่านมา "ปัจจัยสำคัญของผลประกอบการที่เติบโตขึ้นอีกประการหนึ่งคือ คุณภาพลูกหนี้เช่าซื้อที่ดีขึ้น และขยายตัวต่อเนื่องมา 5 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2558 จนถึงปลายปี 2559 นอกจากนั้น ต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลงอันเนื่องมาจากประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุน ส่วนค่าใช้จ่ายรวมลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมาลดลง 4.2% จาก 2,961.8 ล้านบาทในปี 2558 มาเป็น 2,836.3 ล้านบาทในปี 2559" นางสาวปฐมา กล่าวเสริม ในช่วงปี 2559 ที่ผ่านมา TK ได้ออกหุ้นกู้อย่างต่อเนื่องถึง 4 ครั้ง มีมูลค่าหุ้นกู้รวม 2,000 ล้านบาท ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 2.33% ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยส่วนต่าง (Interest Spread) อยู่ที่ 30.9% โดยมีสัดส่วนเงินกู้ระยะยาวอัตราดอกเบี้ยคงที่ต่อเงินกู้ระยะสั้นอยู่ที่ 91:9 ซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนทางการเงินให้อยู่ในระดับต่ำที่สามารถแข่งขันในตลาดได้ในระยะยาว นางสาวปฐมา กล่าวว่าทิศทางตลาดรถจักรยานยนต์ในปี 2560 นี้ ยังคงสดใสต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวในไตรมาสที่ 4 ของปี 2558 และฟื้นตัวต่อเนื่องตลอดปีที่แล้ว ด้านสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติล่าสุดได้รายงานตัวเลขอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจตลอดปีที่แล้วอยู่ที่ 3.2% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเจริญเติบโตของปี 2558 ที่เติบโต 2.9% ในขณะที่ปี 2560 สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้กำหนดอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นประมาณ 3-4% โดยคาดว่าอัตราเติบโตเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณ 3.5% ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนภาครัฐ ยังอยู่เกณฑ์สูง ทั้งจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง 20 โครงการ ซึ่งขณะนี้เริ่มก่อสร้างแล้ว 4 โครงการ วงเงิน 4.55 หมื่นล้านบาท อยู่ระหว่างการประกวดราคา 11 โครงการ วงเงิน 5.33 แสนล้านบาท ซึ่งน่าจะเริ่มก่อสร้างและเบิกจ่ายในปีนี้ รวมกับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่งปี 2560 อีก 36 โครงการ วงเงิน 8.96 แสนล้านบาท ซึ่งน่าจะมีการก่อสร้างได้ในช่วงครึ่งแรกปี 2560 จำนวน 5 โครงการ วงเงิน 5.48 หมื่นล้านบาท "ในขณะที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง เรามั่นใจว่าในปี 2560 TK จะสามารถเติบโตต่อเนื่องตามแผนการดำเนินธุรกิจในการรุกขยายฐานธุรกิจในต่างประเทศให้มากขึ้น ควบคู่กับการสร้างการเติบโตของตลาดภายในประเทศ โดยตั้งเป้าจะขยายสัดส่วนลูกหนี้เช่าซื้อที่มาจากในประเทศและจากต่างประเทศอยู่ที่สัดส่วน 50:50 ในอีก 3 ปีข้างหน้า รวมทั้งจะยังคงดำเนินมาตรการเข้มงวดในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อเพื่อคัดลูกค้าที่ดีมีคุณภาพมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันการเร่งตัดหนี้สูญตามมาตรฐานที่สูงของ TK ติดต่อกันมาหลายปี ทำให้บริษัทฯ มีความพร้อมที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดด ในอัตราเติบโตที่สูงกว่าเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ" นางสาวปฐมา กล่าว สำหรับรายได้รวมในปี 2559 TK มีรายได้รวมทั้งสิ้น 3,371.3 ล้านบาท ลดลง 0.7% จาก 3,394.1 ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้านี้ ส่วนลูกหนี้เช่าซื้อสุทธิรวม ณ สิ้นปี 2559 มียอดรวม 7,619.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.7% จาก 7,076.8 ล้านบาทในปี 2558 นอกจากนี้ ส่วนสินทรัพย์รวมในปี 2559 เพิ่มขึ้น 4% จาก 8,283.7 ล้านบาทในปี 2558 มาเป็น 8,611.4 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่าน และหนี้สินรวมในปี 2559 เพิ่มขึ้น 2.5% จาก 3,962.4 ล้านบาทเมื่อปี 2558 มาเป็น 4,061.5 ล้านบาท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ