กรุงเทพฯ--28 ก.พ.--IR PLUS
เจมาร์ท ตอกย้ำปีนี้ไม่ธรรมดา วางเป้าผลงานโตอีก 30% โดย JMART รุกตลาดมือถือ และกล้องถ่ายรูป ตั้งเรือธง เจ ฟินเทค และ เจ เวนเวอร์ส รุก Fintech วางรากฐานธุรกิจค้าปลีกด้วยเทคโนโลยี ด้านธุรกิจบริหารหนี้ JMT ปี 59 ฟาดกำไร 290 ล้านบาท โตแรง 207% พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจติดตามหนี้และบริหารหนี้ใน CLMV ด้าน J ย้ำปีนี้รับรู้รายได้ The Jas Urban เต็มปี และขยาย IT Junction ตามเป้า 60 สาขา ตอกย้ำธุรกิจโตแบบมั่นคง และ Singer มั่นใจปีนี้โตก้าวกระโดด หลังปรับโครงสร้างภายใน เดินหน้าขยายตัวแทนขาย รุกธุรกิจสินเชื่อ Car for Cash "รถทำเงิน" ในไตรมาส 2 ปีนี้
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยว่า เจมาร์ท กรุ๊ป ตั้งเป้าปี 2560 เดินตามแผนธุรกิจ จากการผนึกกำลังร่วมกันของบริษัทฯ ในเครือ โดยตั้งเป้าปีนี้ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ เติบโต 30% ขณะที่ใช้งบการลงทุนรวมทั้งกลุ่มราว 7,700 ล้านบาท โดยมีบริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแกน เป็นเรือธงในการเติบโตสำหรับธุรกิจจัดจำหน่ายมือถือ โดยปีที่ผ่านมาบริษัทจำหน่ายมือถือได้กว่า 1.2 ล้านเครื่อง ด้วยราคาเฉลี่ยต่อเครื่องที่สูงขึ้น ซึ่งปัจจัยที่ทำให้บริษัทเติบโตต่อเนื่อง คือ การจัดจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางการจำหน่ายของบริษัทในเครือ อีกทั้ง ปีนี้จะขยายธุรกิจกล้อง "Jaycamera" ที่มีแผนเปิดสาขาเพิ่ม 10 สาขา ชิงส่วนแบ่งทางการตลาด และร่วมมือกับค่ายมือถือ และ แบรนด์สมาร์ทโฟนรุกตลาดปี 2560
นอกจากนี้ พร้อมเดินหน้ารุกธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลเต็มตัว โดยมีบริษัท เจ ฟินเทค จำกัด เป็นแกนนำ ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อปีนี้ 3,500 ล้านบาท รวมทั้ง รุกธุรกิจฟินเทค ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจค้าปลีกในกลุ่มบริษัทฯ ผ่านบริษัทย่อย บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งจะเป็นอีกกุญแจสำคัญที่ผลักดันผลประกอบการในอนาคต และผลักดันรายได้ปีนี้ให้เติบโตอีก 30% จากปีก่อน ตามเป้าหมายที่วางไว้
"เจมาร์ท รุกเข้าธุรกิจฟินเทคที่เกียวข้องกับธุรกิจค้าปลีก เนื่องจาก เจมาร์ทมีความพร้อมทั้งในด้านช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย มีบริษัทติดตามหนี้ที่เป็นอันดับ 1 ของประเทศ มีฐานข้อมูลลูกค้า และลูกหนี้ อีกกว่า 5 ล้านราย ซึ่งเป็น Big Data ในการนำมาต่อยอดธุรกิจได้อีกมาก" นายอดิศักดิ์ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ งวดประจำปี 2559 ทำนิวไฮใหม่ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 438 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 36% จากธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจติดตามหนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูง ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายปันผลเป็นหุ้นปันผลและเงินสดในงวดครึ่งปีหลังของปี 2559 รวมในอัตราหุ้นละ 0.18519 บาท กำหนดวันที่จ่ายปันผล 3 พฤษภาคม 2560 พร้อมจัดสรรวอร์แรนท์ให้กับผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนราคา Exercise 15 บาท อายุ 2 ปี ซึ่งต้องรอผู้ถือหุ้นอนุมัติในที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นปี 2560
นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยว่า ในปี 2559 ที่ผ่านมา เป็นปีที่บริษัทฯ สร้างผลงานได้อย่างโดดเด่น ทำสถิติรายได้และกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเชื่อว่าในปี 2560 ทิศทางธุรกิจจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากภาพรวมหนี้ NPL มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้สถาบันการเงินต่างๆ ขายหนี้เสียออกมาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นโอกาสของ JMT ในการรุกตลาด และตั้งเป้างบลงทุนสำหรับซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่มอีก 3 หมื่นล้านบาท หรือสิ้นปี 2560 มีพอร์ตบริหารหนี้แตะ 1.4 แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่นับรวมโอกาสการเข้าไปซื้อหนี้บ้านทั้งแบบมีหลักประกันและไม่มีหลักประกันเพิ่ม
นอกจากนี้ บริษัทฯ เข้าไปรุกตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง โฟกัสที่ตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV โดยประเดิมตลาดกัมพูชาเป็นประเทศแรก พร้อมจัดตั้งบริษัทย่อย ชื่อ บริษัท เจเอ็มที (กัมพูชา) จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจรับจ้างติดตามหนี้ และ Call Center โดยเป็นบริษัทที่จัดตั้งในประเทศกัมพูชา ด้วยทุนจดทะเบียนประมาณ 30.6 ล้านบาท โดยมี JMT ถือหุ้น 100% เพื่อก้าวเป็นผู้นำในด้านการติดตามหนี้ และบริหารหนี้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ในอนาคต
สำหรับผลประกอบการปี 2559 ที่ผ่านมา มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 290 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 207% ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 1,063.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 47.9% เนื่องจากธุรกิจติดตามหนี้ และซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารมีการเติบโตที่ดี บริษัทฯ สามารถติดตามหนี้ได้อย่างดีเยี่ยม มียอดจัดเก็บได้สูงที่สุดอยู่ที่ 1,026 ล้านบาท ด้านที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการงวดปี 2559 ในอัตราหุ้นละ 0.66 บาท กำหนดวันที่จ่ายปันผล 3 พ.ค. 2560
นายสุพจน์ วรรณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J ผู้นำธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้า ภายใต้ชื่อ IT Junction และพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ศูนย์การค้าชุมชม ภายใต้ชื่อ The Jas เปิดเผยถึง ทิศทางธุรกิจในปี 2560 จะเป็นอีกปีที่สามารถสร้างรายได้อย่างเห็นได้ชัด จากการบริหารพื้นที่เช่าที่มีอยู่ทั่วประเทศ และตั้งเป้าขยายสาขาและการให้บริการที่ครบวงจรยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าขยาย IT Junction จำนวน 8 สาขา จากสิ้นปี 2559 มีจำนวน 52 สาขา และศูนย์การค้าชุมชนภายใต้ชื่อ The Jas ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ The Jas วังหิน, The Jas รามอินทรา และโครงการล่าสุด The Jas Urban ศรีนครินทร์ ที่เปิดให้บริการในช่วงปลายปี 2559 ที่ผ่านมา มีพื้นที่ขายกว่า 15,000 ตารางเมตร และมี Occupancy Rate เต็ม 100% จะสามารถทำรายได้เข้ามาในปีนี้เต็มจำนวน โดยในหลายพื้นที่ยังสามารถสร้างรายได้เพิ่มอีก จากรายได้ค่าเช่าพื้นที่ รายได้จากการโฆษณาบนพื้นที่ของบริษัทฯ และของพันธมิตรทางการค้า
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้แตกไลน์ธุรกิจ เปิดตัว "TOTEM KINGDOM" สวนสนุกในร่มขนาดใหญ่แห่งแรกของบริษัทฯ ให้เป็นอีกไฮไลท์หนึ่งที่จะสามารถดึง Traffic ของโครงการ Jas Urban ศรีนครินทร์ รวมทั้ง การรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบัน อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise จำนวน 8 ชั้น ภายใต้ชื่อ Newera ย่านถนนประดิษฐ์มนูธรรม คาดพร้อมเปิดให้จองได้ภายในปีนี้
สำหรับผลงานในปี 2559 ที่ผ่านมา นับเป็นอีกปีของการลงทุน เนื่องจากบริษัทฯ เข้าไปรุกธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่ม ในทำเลที่มีศักยภาพ นับเป็นการสร้างฐานรายได้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงในระยะยาว และกระจายความเสี่ยงในธุรกิจได้เป็นอย่างดี ทำให้ปัจจุบัน บริษัทฯ มีพื้นที่เช่าในการบริหารสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งมา หรือมีพื้นที่เช่ารวมกว่า 53,000 ตารางเมตร ครอบคลุมทั่วประเทศ มีรายได้ค่าเช่าและบริการปี 59 อยู่ที่ 545.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 7.7% กำไรสุทธิอยู่ที่ 5.6 ล้านบาท ลดลง 90.4% เนื่องจากต้นทุนค่าเช่าและบริการ รวมถึงค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลตอบแทนในระยะยาว
นางนงลักษณ์ ลักษณะโภคิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER เปิดเผยถึง ทิศทางธุรกิจปี 2560 เทิร์นอะราวด์ หลังประสบความสำเร็จในการปรับโครงสร้างภายในองค์กรครั้งใหญ่ เตรียมเดินหน้ารุกตลาดค้าปลีกเต็มกำลัง โดยมีจุดแข็งจากการผนึกกำลังร่วมกันของบริษัทในเครือเจมาร์ท เสริมยอดขายให้แข็งแกร่ง ควบคู่กับการลดต้นทุน และสร้างกำไรที่มีศักยภาพ โดยตั้งเป้าปีนี้มีตัวแทนขายเพิ่มเป็น 2 หมื่นคน จากสิ้นปี 2558 อยู่ที่เกือบ 1 หมื่นคน กระจายอยู่ทั่วประเทศ เพิ่มสินค้าและบริการตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย รวมทั้ง การรุกสินค้าเชิงพาณิชย์ โดยมีแผนจะเพิ่มจุดชำระเงินผ่านตู้เติมเงินของ SINGER อีกกว่า 10,000 จุด และเตรียมเปิดตัวบริการสินเชื่อ Car for Cash "รถทำเงิน" ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้
อย่างไรก็ตาม ปีนี้จะเป็นปีที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของ SINGER อย่างชัดเจน การปรับโครงสร้างการบริหารและการดำเนินธุรกิจในช่วงที่ผ่านมาเริ่มเดินหน้าเห็นผล ประกอบกับปัจจัยบวกที่เข้ามาสนับสนุน จึงตั้งเป้าหมายผลงานปีนี้จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด วางเป้ารายได้ปี 2560 เติบโตอีก 30% จากปีก่อน
สำหรับผลประกอบการปี 2559 มีรายได้ 2,545.6 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 25% และมีกำไรสุทธิ 119.8 ล้านบาท ลดลง 16.3% อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการบริษัทฯ ยังอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานปี 2559 ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 19 พ.ค. 2560