กรุงเทพฯ--1 มี.ค.--IR PLUS
HTECH ทิศทางผลประกอบการสดใส ตั้งเป้ารายได้ปี 60 โตไม่ต่ำกว่า 8-10% จากออเดอร์ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟเพิ่มต่อเนื่อง พร้อมคาดหวังปิดดีลลูกค้าใหม่ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนเครื่องบินที่มาเลเซียหนุนออเดอร์ยาว 8 - 12 ปี "พีท ริมชลา" เอ็มดีไฟแรง คาดโรงงานใหม่เริ่มผลิตไตรมาส 4/60 ช่วยหนุนรายได้บริษัทฯ ให้เติบโตแข็งแกร่ง ส่วนการย้ายเข้าซื้อขายใน SET ภายในไตรมาส2นี้ ช่วยหนุนนักลงทุนต่างชาติเข้าถือหุ้นมากขึ้น ล่าสุดโชว์งบปี 59 แจ้งงบรวมกำไรพุ่งกว่า 75.24% บอร์ดขานรับกำไรอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีหลัง 0.11 บาท/หุ้น
นายพีท ริมชลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท แฮลเซี่ยน เทคโนโลยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ HTECH เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2560 ว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 8-10% จากปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นจากลูกค้าในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ (HDD) มีคำสั่งซื้อสินค้ามากขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะคำสั่งซื้อสินค้าในช่วงเดือน ธ.ค.2559 - ม.ค. 2560 ที่ผ่านมา ทำสถิติสูงสุดใหม่ ขณะที่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ในต่างประเทศมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น
"ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจาขายสินค้าให้อุตสาหกรรมชิ้นส่วนเครื่องบิน (Aerospace) ที่ประเทศมาเลเซีย คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้ แต่จากการประชุมกับลูกค้าที่ผ่านมา มีข้อมูลเบื้องต้นว่าโปรเจคนี้จะมีระยะเวลายาวนานถึง 8 - 12 ปี ซึ่งหากได้ออร์เดอร์ก็จะมียอดขายต่อเนื่อง ถึงแม้สัดส่วนของลูกค้าในอุตสาหกรรมนี้จะไม่มากนัก แต่มีอัตรากำไรดี รวมถึงโรงงานใหม่ที่จะเริ่มผลิตในปลายไตรมาส 3 /2560 หรือต้นไตรมาส 4/2560 จะช่วยหนุนรายได้ของบริษัทฯเพิ่มขึ้น" นายพีท กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องมือตัดเฉือนโลหะ (Cutting Tools) ที่ประเทศเวียดนาม โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมที่นำเข้าเพื่อจำหน่าย ซึ่งคาดว่า จะเริ่มผลิตได้ในช่วงไตรมาส 2/2560
สำหรับความคืบหน้าในการย้ายหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์ mai เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) คาดว่าจะได้รับอนุมัติย้ายตลาดฯ ได้ภายในไตรมาส2นี้ โดยเชื่อว่าหุ้นของบริษัทจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้นทั้งกลุ่มกองทุน สถาบัน ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งผลการดำเนินงานทิศทางที่ดีขึ้น จะยิ่งดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนใน SET ต่อเนื่อง
สำหรับผลประกอบการในงวดปี 2559 ของบริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิสำหรับงวดปี 2559 จำนวน 142.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 75.24 จากปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิ 81.26 ล้านบาท โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากสัดส่วนรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นมากกว่าสัดส่วนต้นทุนและค่าใช้จ่าย โดยบริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 826.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101.87 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.61 เทียบกับปี 2558 ที่ผ่านมา ที่มีรายได้รวม 724.33 ล้านบาท โดยรายได้รวมที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นของบริษัทใหญ่จำนวน 51.64 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการติดตั้งเครื่องจักรขยายกำลังการผลิต เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในส่วนของสินค้าที่เป็นไฮเอนด์มากขึ้น นอกจากนี้บริษัทย่อยในประเทศฟิลิปปินส์ ยังมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นในปีนี้จากการเจาะตลาดลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปี 2558 ทำให้มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส และบริษัทย่อยในประเทศเวียดนาม มีรายได้จากการขายเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ทำให้ทั้งปีมีรายได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว รวมถึงบริษัทย่อยอื่นๆมีรายได้เติบโตจากปีก่อน ยกเว้นบริษัทย่อยในสิงคโปร์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน ทำให้ภาคอุตสาหกรรมโดยรวมในประเทศค่อนข้างซบเซาในช่วงต้นปี ทั้งนี้เริ่มเห็นสัญาณฟื้นตัวและรายได้ที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3/2559 ที่ผ่านมา
"บริษัทฯ พอใจกับผลงานที่ออกมา ทั้งรายได้และกำไรที่เติบโตอย่างน่าประทับใจ เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2558 ที่ผ่านมา ที่มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.61 แต่กำไรเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 75.24 เนื่องจากบริษัทฯมีกำลังการผลิตสินค้า High-end มากขึ้นซึ่งมีกำไรขั้นต้นสูง บวกกับการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้นจากเครื่องจักรใหม่ๆ และระบบควบคุมภายในซึ่งมีการนำวัตถุดิบกลับมาใช้ใหม่ได้ในปริมาณมากขึ้น รวมถึงมีการลดค่าใช้จ่ายต่างๆจากปีก่อน ส่งผลให้โดยรวมทั้งกลุ่มบริษัทมีอัตรากำไรที่ดีขึ้น และคาดว่าผลประกอบการของบริษัทฯทั้งรายได้และกำไรในปี 60 จะดีต่อเนื่อง" นายพีท กล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2559 ในอัตราหุ้นละ 0.11 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 12 พฤษภาคม 2560 และจ่ายปันผลวันที่ 23 พฤษภาคม