กรุงเทพฯ--2 มี.ค.--IR PLUS
บมจ. เอ็กโซติค ฟู้ด หรือ XO เผย ภาพรวมตลาดซอสปรุงรสและเครื่องประกอบอาหารไทยโดดเด่น ได้รับการตอบรับที่ดีทั่วโลก และเป็นโอกาสของบริษัทฯ ในการรุกตลาดส่งออกและเพิ่มยอดขายให้เติบโตขึ้น โดยปัจจุบันโรงงานแห่งที่ 2 แล้วเสร็จในเดือนธันวาคมเรียบร้อยแล้ว และเริ่มผลิตเพื่อส่งออก แต่ยังมีปัญหาในช่วงของการเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งบริษัทฯ เร่งแก้ไขในทุกจุด เพื่อปลดล็อคปัญหาจากโรงงานแห่งแรก และพร้อมบุกตลาดต่างประเทศได้อย่างจริงจัง จึงวางเป้ารายได้ปี 60 จะเติบโตจากปีก่อนหน้า 5% บนพื้นฐานความระมัดระวังจากปัญหาโรงงานใหม่ยังผลิตได้ไม่เต็มที่ แต่คาดกลางปีนี้ปัญหาจะคลี่คลาย ส่วนผลงานปี 59 มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 18.66% อยู่ที่ 878.19 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 77.47 ล้านบาท บอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.08 บาท ตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ไว้วางใจและสนับสนุนบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมา
นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO ผู้ส่งออกรายใหญ่ในผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรสและน้ำจิ้มต่างๆ , ผลิตภัณฑ์เครื่องแกงเครื่องประกอบอาหาร, ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม, ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน และผลิตภัณฑ์อาหารกึ่งสำเร็จรูปและสำเร็จรูปอื่นๆ เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในปี 2560 คาดว่าบริษัทฯ จะมียอดขายที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากภาพรวมการเติบโตของอาหารไทยและซอสปรุงรสที่ได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศ เป็นโอกาสของ XO ในการบุกตลาด จากปัจจุบันที่มียอดขายจากการส่งออก 99% โดยปลายปีที่ผ่านมา กลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้มที่เป็นรายได้หลักของบริษัทฯ มีสัดส่วนประมาณ 66% ของรายได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม มองว่าความต้องการซื้อสินค้ายังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจุบันโรงงานแห่งที่ 2 ที่นิคมอมตะซิตี้ จ.ระยอง แล้วเสร็จและเริ่มผลิตสินค้ากลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้มในช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว แต่ยังพบปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินการและขั้นตอนการผลิต เนื่องจากเป็นช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงไปสู่เทคโนโลยีใหม่ที่ทันสมัยกว่าโรงงานเดิมมาก ทำให้บริษัทฯ ยังไม่สามารถดำเนินการผลิตสินค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จึงเป็นข้อจำกัดในการรุกตลาดส่งออกเพิ่มอย่างเต็มกำลังได้
ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการแก้ปัญหาในทุกจุดอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถผลิตเชิงพาณิชย์อย่างมีประสิทธิภาพได้เร็วที่สุด ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงกลางปีนี้ สนับสนุนให้กำลังการผลิตของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว เพื่อรุกตลาดซอสปรุงรสและน้ำจิ้มให้เพิ่มขึ้น และจะเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันให้ยอดขายเติบโตในอนาคต โดยเบื้องต้นขอตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 5% จากปีก่อน
"หลังจากแก้ปัญหาในโรงงานใหม่แล้วเสร็จ จะสนับสนุนให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกเท่าตัว และสามารถจัดส่งสินค้าได้รวดเร็วทันกับความต้องการของลูกค้ายิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนยอดขายให้เติบโตขึ้นได้ รวมทั้ง การออกงานแสดงสินค้า การหาตัวแทนจำหน่าย และเปิดตัวสินค้าใหม่ อย่างไรก็ตาม จากข้อจำกัดในเรื่องกำลังการผลิตซึ่งเกิดจากโรงงานใหม่ยังผลิตได้ไม่เต็มที่ จึงตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 5% " นายจิตติพร กล่าว
สำหรับผลประกอบการงวดปี 2559 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 878.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.66% จากงวดเดียวกันของปี 2558 อยู่ที่ 740.11 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขายสินค้าในกลุ่มเครื่องดื่มจากวัตถุดิบธรรมชาติ และสินค้ากลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้มต่างๆ ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 77.47 ล้านบาท ลดลง 9.75% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 85.84 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายสินค้าและการส่งเสริมการขายที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายในการบริหารก่อนเริ่มดำเนินงานของโรงงานแห่งที่ 2 ค่าเช่าคลังสินค้า การทำลายสินค้าที่เสื่อมสภาพหรือไม่ได้มาตรฐาน และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลซึ่งเกิดจากการที่บริษัทฯ ได้ขอยกเลิกการส่งเสริมการลงทุน สำหรับการผลิตในโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังในไตรมาส 2/2559
"ผลงานปี 59 ที่ผ่านมา รายได้ที่เพิ่มขึ้น 18.66% ถือเป็นการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ จากการจำหน่ายสินค้าในปีที่ผ่านมารวมทั้งสิ้น 12,816 ตัน เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า โดยมียอดขายเป็นสกุลเงิน ยูโร 7% สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 36% และสกุลเงินบาท 57% เป็นผลจากความพยายามลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยให้ลูกค้าเปลี่ยนยอดขายจากสกุลเงินยูโรเป็นเงินบาทให้ได้มากที่สุด" นายจิตติพร กล่าว
อย่างไรก็ตาม เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ให้การสนับสนุนบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมา ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2559 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท หรือคิดเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 28,066,407.20 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 28 เมษายน 2560 และวันที่จ่ายปันผล 23 พฤษภาคม 2560