กรุงเทพฯ--6 มี.ค.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บจ. ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานกำไรสุทธิปี 2559 รวมทั้งสิ้น 9.09 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.41% จากปีก่อน ได้ปัจจัยบวกจากต้นทุนการผลิตลดลง และการฟื้นตัวของหมวดธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมี ในปีนี้ บจ. มีกำไรสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ คือหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดวัสดุก่อสร้าง หมวดพาณิชย์ และหมวดการแพทย์
ดร. สันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัท จดทะเบียน (บจ.) ใน SET จำนวน 567 บริษัท หรือคิดเป็น 96.10% จากทั้งหมด 590 บริษัท (รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (PF & REIT) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และ บริษัทที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด หรือ NPG) นำส่งผลการดำเนินงาน งวดปี 2559 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2559 บจ. มีกำไรสุทธิจำนวน 461 บริษัท คิดเป็น 81.31% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด โดย บจ. มีต้นทุนการผลิตโดยรวมลดลงทำให้มีกำไรขั้นต้น 2,502,380 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.37% ประกอบกับไม่มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และไม่มีผลกระทบค่าใช้จ่ายการด้อยค่าสินทรัพย์ ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 908,855 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.41% เมื่อเทียบกับปี 2558 โดยมียอดขายรวม 10,125,805 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลจากหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์มียอดขายลดลง อันเป็นผลกระทบจากระดับราคาน้ำมันในตลาดโลกโดยเฉลี่ยในปี 2559 ต่ำลงประมาณ 20% จากปีก่อน
อย่างไรก็ดี หากไม่รวมธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ในปี 2559 ภาพรวมของกลุ่มธุรกิจอื่นยังคงมีผลประกอบการปรับดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 4.15% และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 7.42% เมื่อเทียบกับปี 2558
สำหรับผลการดำเนินงานงวด ไตรมาส 4/2559 บจ. มีกำไรสุทธิ 204,850 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.15% จากไตรมาส 4/2558 และลดลง 1.47% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2559
ความสามารถด้านการทำกำไรของ บจ. ปรับสูงขึ้น โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น 24.69% เพิ่มขึ้นจาก 22.28% ในปี 2558 และมีอัตรากำไรสุทธิ 8.95% เพิ่มขึ้นจาก 6.70% ขณะที่โครงสร้างเงินทุนของ บจ. ยังคงแข็งแกร่ง โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) ณ สิ้นปี 2559 อยู่ที่ 1.19 เท่า ลดลงจาก 1.20 เท่า ในช่วงสิ้นปี 2558
"ในปี 2559 บจ. มีผลประกอบการดีขึ้นสอดคล้องกับเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวด้านการอุปโภคบริโภค และเป็นปีที่ บจ. มีกำไรสุทธิสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยเฉพาะในหมวดธุรกิจที่ได้รับผลดีจากนโยบายรัฐบาล คือ หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดวัสดุก่อสร้าง หมวดพาณิชย์ และหมวดการแพทย์ และหากพิจารณาในมิติของ บจ. ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 กลุ่มตามนโยบายThailand 4.0 พบว่ากลุ่ม บจ. ดังกล่าวมีผลประกอบการในเกณฑ์ดีและแข็งแรงมาก โดยมีกำไรสุทธิเติบโตราว 20% จากปี 2558"
"ผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 2559 บจ. mai มีกำไรสุทธิ 3,890 ล้านบาท ลดลง 8.73% เมื่อเทียบกับปี 2558 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากรายการพิเศษในบริษัทขนาดใหญ่บางแห่ง และสำหรับในไตรมาส 4/2559 มีขาดทุนสุทธิ 472 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 4/2558 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 233 ล้านบาท" ดร. สันติกล่าว