กรุงเทพฯ--6 มี.ค.--โรงพยาบาลพญาไท 2
อาการปวดท้องอาจไม่ใช่อาการเจ็บปวดธรรมดาอีกต่อไป หากสาเหตุนั้นเกิดจาก "นิ่วในถุงน้ำดี" แล้วปล่อยทิ้งไว้นานจนก้อนนิ่วขนาดใหญ่ไปอุดตันบริเวณรอยต่อระหว่างถุงน้ำดีกับท่อน้ำดี ส่งผลให้เกิดการอักเสบและปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา หากลุกลามไปสู่การติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือดอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ปัจจุบันนิ่วในถุงน้ำดียังคงเป็นโรคที่พบบ่อยในคนไทย โดยกลุ่มเสี่ยงคือผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไปที่มีน้ำหนักตัวมาก ส่วนผู้ชายก็สามารถเกิดโรคนี้ได้เช่นกันแต่มีโอกาสน้อย และด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ได้สร้างข่าวดีให้กับผู้หญิงผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคมาก เมื่อมีเทคนิคการผ่าตัดนิ่วด้วยวิธีการส่องกล้องทางช่องคลอด ช่องทางธรรมชาติที่ไม่ก่อให้เกิดแผลใดๆแก่ผู้ป่วย
แต่เดิมนั้น รักษาด้วยการผ่าตัดแบบเปิด คนไข้จะมีแผลยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร เจ็บปวดมาก และต้องพักฟื้นหลายวัน บางรายผนังหน้าท้องไม่แข็งแรงหรือเย็บแผลไม่ดี ก็อาจทำให้เกิดไส้เลื่อนในภายหลังได้ ต่อมามีเทคโนโลยีการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีด้วยวิธีส่องกล้อง ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมและถือเป็นมาตรฐานของวงการแพทย์ทั่วโลก วิธีนี้ช่วยลดความเจ็บปวดลงไปได้มาก และพักฟื้นไม่นาน แต่จะเกิดแผลที่สะดือขนาด 1-2 เซนติเมตร และแผลที่หน้าท้องขนาด 0.5 เซนติเมตรอีก 2-3 รู นอกจากนี้ยังมีรายงานทางการแพทย์ระบุว่า หากติดตามเคสเหล่านี้ไปในระยะยาว 10-20 ปี พบว่ามีคนไข้ประมาณ 10% เกิดอาการไส้เลื่อน ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการเย็บแผลที่สะดือไม่ดีพอ
หลังจากนั้น จึงมีศัลยแพทย์ชาวเยอรมนี คิดค้นการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีผ่านทางช่องธรรมชาติ ซึ่งร่างกายคนเรามีช่องธรรมชาติหลายช่อง แต่ช่องที่เหมาะสมกับการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีมากที่สุดคือ "ช่องคลอด" โดยวิธีการนี้ไม่มีผลกระทบใดๆต่อมดลูก เพราะอุปกรณ์จะถูกใส่เข้าไปบริเวณช่องว่าง ระหว่างใต้มดลูกกับหน้าท้อง เดิมทีแพทย์ในแถบเอเชียยังไม่ค่อยนิยมผ่าตัดด้วยวิธีนี้เท่าไรนัก เนื่องจากต้องใช้เทคนิคยุ่งยาก แต่เมื่อต้นปี พ.ศ.2559 ที่ผ่านมา นพ.อังกูร อนุวงศ์ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดส่องกล้อง ศูนย์ศัลยกรรมผ่าตัดแผลเล็กผ่านกล้องชั้นสูง ชั้น 1 อาคาร A โทร.02-617-2444 ต่อ 4161 , 4126 Call Center 1772 โรงพยาบาลพญาไท 2 เป็นศัลยแพทย์คนแรกของประเทศไทยที่นำวิธีการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีผ่านทางช่องคลอดมาใช้รักษาคนไข้ และมีการปรับปรุงเทคนิคการผ่าตัดให้ง่ายขึ้น นับเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าของวงการแพทย์ที่น่าสนใจ
"เริ่มต้นขั้นตอนแรกแพทย์จะเจาะรูขนาด 0.5 เซนติเมตรที่สะดือ เพื่อใส่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป จากนั้นจึงใส่กล้องผ่านสะดือและใส่อุปกรณ์ ขนาดเล็กเข้าไปในช่องคลอดเพื่อตัดถุงน้ำดีออก ใช้ระยะเวลาผ่าตัดประมาณ 40 นาที ไม่ต่างจาก การผ่าตัดผ่านกล้องทั่วไป หลังผ่าตัดคนไข้จะแทบไม่มีความเจ็บปวดเลยครับ สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ ตามปกติในทันที และไม่มีรอยแผลเป็นให้รำคาญใจอีกด้วย มีเพียงข้อจำกัดบางประการที่ผู้ป่วยไม่สามารถเข้ารับการรักษาด้วยวิธีนี้ได้ คือกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน มีภาวการณ์อักเสบมากเกินไป อีกกรณีคือผู้ป่วยเป็นผู้ชายครับ จะรักษาด้วยการผ่าตัดส่องกล้องทางหน้าท้องตามปรกติแทน"
สิ่งที่สำคัญมากกว่าเทคโนโลยีการรักษาอาการเจ็บป่วย นั่นคือการดูแลร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ ลดการรับประทานอาหารมัน ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์มาตรฐาน และหมั่นสังเกตอาการตนเองเมื่อ มีความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายหากมีสัญญาณโรคจะได้ทำการรักษาอย่างทันท่วงที