กรุงเทพฯ--6 มี.ค.--ไอเดียเวิร์คส์คอมมิวนิเคชั่นส์
อลิอันซ์ อยุธยา โชว์ผลประกอบการปี 59 เบี้ยประกันรับปีแรก 5.9 พันล้าน ดันเบี้ยรับรวมทะลุ 3 หมื่นล้านยกปัจจัยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง หนุนผลิตภัณฑ์คุ้มครองและแพลทฟอร์มดิจิทัล ช่วยผลักดันการเติบโต
บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต รายงานผลประกอบการปี 2559 ดีเยี่ยม เติบโตต่อเนื่อง โกยเบี้ยประกันภัยรับปีแรกจากทุกช่องทาง 5.9 พันล้านบาท (5.8 / 2558) เติบโต 2% เบี้ยประกันภัยรับรวมจากทุกช่องทาง 3 หมื่นล้านบาท (2.8 / 2558) เติบโต 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ยกปัจจัยขับเคลื่อนความสำเร็จจากกลยุทธ์ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางที่เข้มข้น ผสานกับการมุ่งเน้นพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์คุ้มครองชีวิตและสุขภาพ พร้อมแพลทฟอร์มดิจิทัลให้กับลูกค้า ฝ่ายขาย และพันธมิตรทางธุรกิจ
นายไบรอัน สมิธ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต เปิดเผยว่า ในปี 2559 ที่ผ่านมา อลิอันซ์ อยุธยา สามารถโชว์ผลงานได้อย่างดีเยี่ยมเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกจากทุกช่องทางอยู่ที่ 5.9 พันล้านบาท (5.8 / 2558) เติบโต 2% และเบี้ยประกันภัยรับรวมจากทุกช่องทางอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท (2.8 / 2558) เติบโต 8% จากช่วงเดียวกันของปี 2558 โดยช่องทางตัวแทนยังคงสร้างเบี้ยประกันภัยรับรวมสูงสุด ที่ 14.14 พันล้านบาท ช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 10.25 พันล้านบาท ขณะที่ช่องทางการตลาดขายตรงยังคงครองแชมป์ยอดเบี้ยสูงสุดในตลาด ด้วยเบี้ยประกันภัยรับรวม 4.89 พันล้านบาท
"ความสำเร็จในปี 2559 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินกลยุทธ์ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางอย่างต่อเนื่อง และกลยุทธ์ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางที่เข้มข้น โดยให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์คุ้มครองชีวิตและสุขภาพ การส่งเสริมการขายผ่านช่องทางตัวแทน และการนำเครื่องมือดิจิทัลมาใช้ในการทำการตลาด รวมทั้งการสร้างแพลทฟอร์มให้ทั้งลูกค้า พนักงาน และพันธมิตรทางธุรกิจ ให้ทำงานได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น และที่สำคัญ คือ การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้ทุกฝ่ายมีการทำงานที่ประสานสอดรับกันเป็นอย่างดี จึงสามารถสร้างผลงานได้ตามเป้าหมายอย่างน่าพอใจ สำหรับปี 2560 เรายังคงเดินหน้ากลยุทธ์ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยมุ่งเน้นการนำองค์กรเข้าสู่ยุค 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ ให้ความสำคัญกับการเพิ่มจำนวนตัวแทนใหม่ที่ 6,500 คน และมุ่งเน้นออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อการคุ้มครองชีวิตและสุขภาพ โดยจะผลักดันสัดส่วนผลิตภัณฑ์คุ้มครองให้ถึง 42% พร้อมพิชิตเป้าเบี้ยประภัยรับปีแรก 6,500 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยรับรวม 32,500 ล้านบาท ในปี 2560 นี้"
ในระดับภูมิภาคเอเซีย กลุ่มอลิอันซ์ มีผลประกอบการที่แข็งแกร่งและมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาศักยภาพของช่องทางการจัดจำหน่ายและสร้างพันธมิตรและแพลทฟอร์มดิจิทัล เช่น การเปิดตัว Allianz Discover เครื่องมือการขายแบบดิจิทัล เพื่ออำนวยความสะดวกและพัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัลให้ตัวแทนในการนำเสนอโซลูชั่นส์เพื่อการคุ้มครอง รวมทั้งการสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกับลูกค้า ในช่วงครึ่งปีหลัง อลิอันซ์ เอเชีย ได้ประกาศการเป็นพันธมิตรทางช่องทางจัดจำหน่ายร่วมกับ Maybank และ E-Sum ในประเทศอินโดนีเซียและไต้หวัน รวมทั้งบรรลุข้อตกลงช่องทางธนาคารร่วมกับธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ ครอบคลุมตลาดในเอเชีย 5 ประเทศด้วยกัน ถือเป็นการสร้างรากฐานธุรกิจในภูมิภาคนี้ได้อย่างมั่นคง นอกจากนั้น ยังได้เปิดตัว Asia Lab ช่วงกลางปี เพื่อนำเอาศาสตร์ของการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ มาใช้พัฒนาประสบการณ์ลูกค้าตลอดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การพิจารณารับประกัน เรื่อยไปถึงการเรียกร้องสินไหม
ขณะเดียวกัน กลุ่มอลิอันซ์ เยอรมนี ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของอลิอันซ์ อยุธยา รายงานผลประกอบการประจำปี 2559 เช่นกัน โดยมีกำไรจากการดำเนินงานทั้งสิ้น 10.8 พันล้านยูโร (ประมาณ 411.87 พันล้านบาท) ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับประมาณการณ์ที่คาดไว้ และยังเป็นการเติบโตของผลกำไรจากการดำเนินงานติดต่อกันเป็นปีที่ 5 รายได้สุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น 4% จากปี 2558 ส่งผลให้บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในอัตราที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 7.60 ยูโร หรือประมาณ 289.84 บาท นอกจากนี้ อลิอันซ์ยังมีแผนที่จะออกหุ้นรับซื้อคืนภายใน 12 เดือนมูลค่า 3 พันล้านยูโร (ประมาณ 114.41 พันล้านบาท) หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 4.2% ของทุนเรือนหุ้น ทั้งนี้ อลิอันซ์ ซึ่งเป็นบริษัทประกันที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปในแง่ของมูลค่าตลาดยังประสบความก้าวหน้าในการนำกลยุทธ์ Renewal Agenda มาใช้ในปี 2559 ซึ่งส่งผลให้บริษัทสามารถที่จะดำเนินงานไปตามแผนงานซึ่งจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายได้ในปี 2561
ในส่วนของธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ อลิอันซ์ประสบความสำเร็จอย่างดีในด้านผลประกอบการ โดยมีการเติบโตของผลกำไรจากการดำเนินงานในอัตราที่สูงที่สุด คือ ขยายตัว 9.3% มาอยู่ที่ระดับ 4.1 พันล้านยูโร (ประมาณ 156.36 พันล้านบาท) มีผลกำไรจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก ขณะที่กำไรจากธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น 2.7% ในปี 2559 จาก 2.2% ในปี 2558 สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของอลิอันซ์ในการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ด้วยความฉับไวและก่อให้เกิดผลกำไรจากภาวะที่อัตราดอกเบี้ยธนาคารอยู่ในระดับที่ต่ำ
ธุรกิจประกันวินาศภัยมีผลกำไรจากการดำเนินงานลดลง 4.2% ในปี 2559 เนื่องจากเหตุผลหลักคือผลตอบแทนจากการลงทุนที่ปรับลดลง แม้ว่าในส่วนของการดำเนินงานด้านการรับประกันภัยจะดีขึ้นก็ตาม โดยอัตราส่วนรวม (Combined ratio) ซึ่งใช้วัดผลกำไรจากการรับประกันภัย ปรับเพิ่มขึ้น 0.3 จุดมาอยู่ที่ 94.3% ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากมีการจ่ายค่าสินไหมจากเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ลดลงนั่นเอง
ขณะที่ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ถือว่าสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นด้วยก้าวย่างที่สำคัญ โดย PIMCO ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ภายใต้อลิอันซ์สามารถปั้นเงินสุทธิไหลเข้าเพิ่มขึ้นได้ติดต่อกันถึงสองไตรมาสจากการบริหารสินทรัพย์บุคคลที่สามในช่วงครึ่งหลังของปี 2559 มูลค่าสินทรัพย์รวมที่อยู่ภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้น 6.1% มาอยู่ที่ 1,871 พันล้านยูโร (ประมาณ 71.35 ล้านล้านบาท) ณ สิ้นปี ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะตลาดที่มีปัจจัยบวกสนับสนุน อย่างไรก็ตาม ค่าธรรมเนียมในการบริหารงานที่ปรับตัวลดลงส่งผลให้ผลกำไรจากการดำเนินงานปรับลดลง 4% ทว่าการบริหารต้นทุนอย่างมีวินัยก็ทำให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ปรับตัวดีขึ้น ลดลงมาอยู่ที่ 63.4% จาก 64.5% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
"ปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีที่เต็มไปด้วยเรื่องที่น่าประหลาดใจ ซึ่งไม่ใช่ทุกเรื่องที่น่ายินดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวความวุ่นวายต่างๆ สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น รวมถึงภาวะตลาดที่ผันผวนอย่างหนัก นั่นทำให้เป็นการยากที่จะคาดการณ์อะไรได้สำหรับปี 2560 อย่างไรก็ตาม เรายังมีความมั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มผลกำไรจากการดำเนินงานได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ โดยกลุ่มอลิอันซ์ตั้งเป้าผลการดำเนินงานไว้ที่ 10.8 พันล้านยูโร (ประมาณ 411.87 พันล้านบาท) บวกลบ 500 ล้านยูโร (ประมาณ 19.068 พันล้านบาท) อันอาจเกิดจากปัจจัยเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ วิกฤติต่างๆ หรือไม่ก็ภัยพิบัติทางธรรมชาติ" นายโอลิเวอร์ เบท (Oliver Bäte) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มอลิอันซ์ กล่าว
(อัตราแลกเปลี่ยน: 1 ยูโร = 38.1362 บาท ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2559)