กรุงเทพฯ--6 มี.ค.--อาร์เอส
หากพูดถึง "บ้านนกขมิ้น" ก็คงจะคุ้นหูกันเป็นอย่างดี เพราะเป็นมูลนิธิที่คอยดูแลเด็กกำพร้า เร่ร่อน ซึ่งมีนานร่วม 26 ปี โดยการนำของ "ครูอ๊อด-สุรชัย สุขเขียวอ่อน" ผอ.มูลนิธิบ้านนกขมิ้น แต่มาวันนี้ "บ้านนกขมิ้น" กำลังประสบปัญหาค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็กไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร เสื้อผ้า ค่าเล่าเรียน ที่มีไม่เพียงพอ จน "ครูอ๊อด" ต้องออกมานั่งเร่ขายเสื้อผ้ามือสองซึ่งขอรับบริจาคมาจากผู้ใจบุญ เพื่อนำเงินไปเป็นค่าใช้จ่ายให้เด็กๆ แม้ว่าตัวเองจะป่วยเป็น "โรคเนื้องอกในสมอง" ครูเองยังไม่ยอมหยุดพัก และวันนี้รายการ "ปากโป้ง" ทาง ช่อง 8 เข้มทุกเรื่องราว สุดทุกอารมณ์ โดยมี "หนุ่ม-กรรชัย กำเหนิดพลอย" เป็นพิธีกร ขอเจาะลึกถึงเรื่องดังกล่าว
บ้านนกขมิ้นเกิดขึ้นมาได้ยังไง ?
"เมื่อประมาณ 27 ปีที่แล้วเราพบว่าในกรุงเทพมีเด็กเร่ร่อนจำนวนเยอะมาก ตอนนั้นผมเรียนอยู่ที่รามคำแหง แล้วมีคนมาชวนให้ผมมาเป็นครูอาสาสมัครข้างถนน แล้วก็มีโอกาสได้เจอเด็กข้างถนนเยอะ แต่ว่าไม่รู้จะพาเขาไปที่ไหน อันนี้คือจุดเริ่มต้น คือ เด็กเนี่ยกลับบ้านไม่ได้ เพราะว่าผู้ปกครองไม่ยอมรับบ้าง ผู้ปกครองเสียชีวิตไปบ้าง หรือผู้ปกครองติดเหล่าติดยา เราก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็ต้องหาบ้านสำหรับเด็กเหล่านี้ ก็ได้ไปเจอกับคุณพ่อวินซ์ เป็นชาวสวิซเซอร์แลนด์ ตอนนั้นท่านก็มาทำบ้านหลังเล็กๆ เป็นบ้านเด็กกำพร้า สาเหตุที่ท่านมาทำก็เพราะว่าท่านไปเจอเด็กเร่ร่อนแล้วอยากจะช่วย แต่ว่าก็มีเด็กแค่ 4-5 คนที่อยู่กับท่าน ท่านเป็นฝรั่ง ท่านไม่รู้จะไปหหาเด็กเร่ร่อนที่ไหนมาอยู่ที่นี่ ก็เลยมารู้จักกับผม และผมก็ได้พาเด็กหลายคนมาอยู่ที่บ้านนกขมิ้น"
ครั้งแรกบ้านนกขมิ้นมีเด็กในบ้านกี่คน ?
"ครั้งแรกๆ เลยมี 10 คนได้ครับ ตอนนั้นเป็นเด็กเร่ร่อนล้วนๆ เลยครับ เด็กจรจัด เด็กเหลือขอคนเขาเรียกอย่างนั้น เขาอยู่ไม่เป็นที่ไม่เป็นทาง เขาไม่สามารถอยู่ในครอบครัวได้ครับ บางครั้งครอบครัวทอดทิ้งเขา ไล่เขาออกจากบ้าน หรือว่าพ่อแม่ติดยาเสพติด พ่อแม่ติดคุก พ่อแม่เสียชวิต ไม่มีครอบครัวจะอยู่ เด็กบางคนที่ผมเห็นต้องเก็บอาหารในถังขยะกิน"
ทำไมตั้งชื่อบ้านนกขมิ้น ?
"ถ้าเคยได้ยินเพลงกล่อมเด็ก เนื้อเพลงว่านกขมิ้นเหลืองอ่อน ค่ำแล้วจะนอนไหนดี ถ้าใครเคยได้ฟังเพลงกล่อมเด็กจะจำได้ เพราะฉะนั้นเด็กพวกนี้ก็เหมือนนกขมิ้นที่ไม่มีรังนอน ค่ำไหนนอนนั่น ก็เลยตั้งชื่อว่าบ้านนกขมิ้น เป็นบ้านของเด็กที่ไม่มีที่นอน"
บ้านนกขมิ้นเริ่มเติบโตมาเหมือนทุกวันนี้ได้ยังไง ?
"ผมเป็นครูข้างถนนด้วยนะครับ โอกาสที่จะเจอเด็กข้างถนน และเครือข่ายครูข้างถนน และเครือข่ายคนที่ทำงานเกี่ยวกับเด็ก หลายคนก็ส่งเด็กมาให้กับเราก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จากบ้านในกรุงเทพ เราก็ขยายไปบ้านสุโขทัย เชียงใหม่ เชียงราย และหลายๆ ที่ ที่ต้องขยายไปต่างจังหวัดก็เพราะว่าเราต้องการหาพื้นที่ที่จะทำเกษตรพอเพียงเพื่อจะเลี้ยงดูพวกเขาด้วย"
บ้านกขมิ้นไม่ได้มีแค่ในกรุงเทพ ?
"ไม่ได้มีที่เดียวครับ มีสาขาอยู่เชียงราย เชียงใหม่ สุโขทัย อุทัยธานี ประจวบฯครับ"
แล้วครูอ๊อดดูแลที่ไหน ?
"ทั้งหมดเลยครับ แต่จะมีเจ้าหน้าที่แต่ละบ้านที่ผมต้องดูแลเขาด้วยครับ ตัวผมเองประจำอยู่ที่กรุงเทพ ในกรุงเทพมีเด็กอยู่ประมาณ 40 คน ใน 40 คนนี้จะแยกออกเป็นครอบครัว มีครอบครัวอื่นๆ มาช่วยดูแล มี 4 ครอบครัวที่มาช่วยดูแลเด็ก ครอบครัวผมดูแลเด็ก(ส่งเสียค่าเล่าเรียน) 14 คน และยังมี ครอบครัวคุณกำพล ครอบครัวคุณไก่ ครอบครัวคุณปัญญา เราเป็นสถานสงเคราะห์ที่มีรูปแบบแปลกหน่อยนะครับ เราใช้ระบบครอบครัว ระบบบ้าน ภาพใหญ่คือสถานสงเคราะห์กรุงเทพมีเด็ก 40 คน ภาพย่อยคือมีครอบครัวเล็กๆ ในการดูแลเด็กอีก"
ค่าเล่าเรียน เสื้อผ้า อาหาร ของเด็กที่กรุงเทพครูอ๊อดเป็นคนหา ?
"ทั้งหมดครับ คือบ้านนกขมิ้นทั่วประเทศ 200 คน"
ได้เงินมากจากไหน ?
"มากจากกล่องบริจาคที่เราไปขอวางตามที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟในปั้มน้ำมัน แต่ต่อมาก็วางไม่ค่อยได้ เพราะอาจจะมีขโมยเข้าไปขโมยอาจจะทำให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญทำให้ผู้ประกอบการก็ไม่อยากให้เราวาง ผมไม่ทราบว่ายังไงบ้างนะครับ จริงๆ ผมขอความช่วยเหลือตามที่ต่างๆ อยู่นะครับ ถามว่าตามร้านสะดวกซื้อได้ไปขอวางมั้ย ก็ขอครับ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ให้วางครับ เพราะว่ามันอาจจะรกหูรกตารึป่าวผมไม่เข้าใจเหมือนกันนะครับ มันไม่ค่อยสวยงามหลายที่เลยไม่ให้วาง"
มันเกินตัวไปไหมกับการดูแลเด็กเยอะขนาดนั้น ?
"ถามว่ามันเกินตัวไหมมันเป็นความตั้งใจของผมที่อยากจะดูแลเด็ก ผมเคยเป็นเด็กที่มาจากครอบครัวแตกแยก และก็เคยเป็นเด็กเร่ร่อนมาก่อน แต่มีคนให้โอกาส สังคมให้โอกาส มีโอกาสได้เรียนหนังสือจนมีวันนี้ก็อยากจะช่วยพวกเขาเราก็พยายามทำให้มากที่สุด ปัญหาของเด็กในปัจจุบันมันก็เยอะขึ้น ปัญหาสังคมเศราฐกิจเราหลีกเลี่ยงไม่ได้"
เด็กที่เข้ามาอายุเท่าไหร่ แล้วต้องดูแลไปถึงอายุเท่าไหร่ ?
"แรกรับเข้ามานี่ 3 ขวบ ถึง 10 ขวบ แต่เราเลี้ยงดูเขาไปจนถึงเขาอายุ 18-20 ปี คือถ้าเขาเรียนจบแล้ว และอยากจะออกไปใช้ชีวิตตัวเองเราก็ให้ไปได้ แต่ถ้าอยากเรียนต่อเราก็ส่งเสียให้เขาจบมหาวิทยัย จบปริญญาตรีก็มีหลายคนแล้วนะครับ ออกไปทำงานก็มีหลายคนแล้ว"
ไม่เกินกว่าแรงครูเหรอ ?
"จะบอกว่าเหนื่อยมันก็เหนื่อยนะครับ แต่ก็ต้องขอบคุณที่สังคมช่วย เขาเห็นผมทำงานด้านนี้มา เขามาเยี่ยม เขาก็อยากมีส่วนช่วยในการที่จะเข้ามาบริจาคสิ่งของ หรือบริจาคเงินทุนทรัพย์ในการส่งเด็กเรียนหนังสือ"
ได้ยินมาว่าครูเองก็ป่วยเป็นเนื้องอกในสมอง ผ่าตัดมา 2 ครั้งแล้ว แต่ไม่ยอมพัก ?
"ผมเป็นเนื้องอกในสมอง และก็ผ่าตัดมา 2 ครั้งแล้ว ถามว่าเป็นนานแค่ไหนก็ประมาณซัก 5 ปีภรรยาป่วยเป็นโรคหัวใจ ที่รอผ่านตัดเปลี่ยนหัวใจแต่ยังเปลี่ยนไม่ได้ แต่คนก็ถามว่าทำไมผมถึงยังทำ ก็เพราะว่าผมเป็นพ่อของเด็กด้วย ไม่ใช่แค่เป็นครูอย่างเดียว ภรรยาของผมเขาก็เป็นแม่คนหนึ่งในการดูแลเด็ก "