กรุงเทพฯ--7 มี.ค.--พีซี แอนด์ แอสโซซิเอทส์ คอนซัลติ้ง
·DHL eCommerce มุ่งขยายขอบข่ายการให้บริการด้วยเครือข่ายการกระจายสินค้าที่ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคในประเทศ พร้อมบริการจัดส่งสินค้าในรูปแบบ B2C (Business-to-Consumers) ระหว่างประเทศในราคาประหยัด
· ขยายบริการรับสินค้าถึงที่ให้กับผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซรายย่อย เพิ่มความสะดวกสบายในการดำเนินธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการ SMEs กว่า 2.7 ล้านรายทั่วประเทศไทย
DHL eCommerce บริษัทในเครือ Deutsche Post DHL Group - DPDHL Group ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านโลจิสติกส์ของโลก เดินหน้าขยายการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด อีคอมเมิร์ซในประเทศไทยที่คาดว่าจะโตขึ้นถึง 3 เท่า ที่มูลค่า 3,600 ล้านยูโร หรือประมาณ 140,000 ล้านบาทภายในปี พ.ศ. 2563 โดยการขยายเครือข่ายการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคในประเทศด้วยบริการจัดส่งสินค้าถึงมือผู้รับภายในวันถัดไปสำหรับผู้บริโภคในพื้นที่ห่างไกลอื่นๆ รวมถึงการขยายบริการรับสินค้าถึงที่ให้กับผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซรายย่อยเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น
DHL eCommerce เริ่มดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2559 นำเสนอบริการจัดส่งสินค้าภายในประเทศแบบครบวงจร และบริการจัดส่งสินค้าในรูปแบบ B2C ระหว่างประเทศในราคาที่เข้าถึงได้สำหรับผู้ประกอบการไทยทุกขนาดธุรกิจที่ต้องการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ และบริการ fulfillment ที่คิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริงผ่านเครือข่ายระดับโลกของDPDHL Group
เกียรติชัย พิตรปรีชา กรรมการผู้จัดการ DHL eCommerce ประเทศไทย กล่าวว่า "ปัจจุบันตลาด อีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 22%ต่อปีจนถึงปี พ.ศ. 2563 ในขณะที่ตลาดอีคอมเมิร์ซกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ ผู้บริโภคก็มีความต้องการเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ทั้งในเรื่องความคุ้มค่าและสมเหตุสมผลของราคาค่าบริการ รวมถึงคุณภาพของการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ ด้วยเหตุนี้เราจึงขยายการลงทุนพัฒนาการให้บริการในด้านต่างๆ เพื่อให้ DHL eCommerce ประเทศไทย เป็นตัวเลือกอันดับ 1 ของผู้บริโภคในประเทศไทย"
"เรากำลังพัฒนาและเสริมสร้างเครือข่ายการจัดส่งสินค้าภายในประเทศของเราให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพื่อมอบบริการที่เหนือกว่าในพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าอีคอมเมิร์ซในต่างจังหวัดที่เพิ่มมากขึ้นได้อย่างทั่วถึงด้วยบริการที่มีมาตรฐานและคุณภาพ นอกจากนี้เราได้ขยายบริการด้านการรับสินค้าถึงที่ (pick-up service) สำหรับผู้ประกอบการทุกขนาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการ SMEs กว่า 2.7 ล้านรายในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการจัดส่งสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภค โดยผู้ประกอบการไม่ต้องเสียเวลาเดินทางและรอเข้าคิวเพื่อจัดส่งสินค้าอีกต่อไป ทำให้มีเวลาในการพัฒนาและขยายธุรกิจให้เติบโตมากยิ่งขึ้น"
ในปีที่ผ่านมา DHL eCommerce ประเทศไทย ได้ลงทุนในด้านบุคลากร การให้บริการ ศูนย์กระจายสินค้า ยานพาหนะในการจัดส่ง และเครือข่ายการกระจายสินค้าอย่างจริงจัง DHL eCommerce มีศูนย์กระจายสินค้าขนาด 3,222 ตารางเมตรในกรุงเทพฯ และเครือข่ายศูนย์กระจายสินค้าย่อยทั่วประเทศไทยที่สามารถรองรับการจัดส่งสินค้ากว่า 15 ล้านรายการในแต่ละปี นอกจากนี้ กลุ่มผู้ประกอบการยังสามารถใช้บริการเก็บเงินปลายทาง หรือ COD (Cash on Delivery) ซึ่งจะชำระเงินคืนเมื่อสินค้าส่งถึงมือผู้รับในแต่ละวัน รวมถึงศูนย์บริการลูกค้า (Call Center) ที่สามารถให้บริการได้หลากหลายภาษา และมีการบูรณาการระบบไอทีที่เข้าถึงได้ง่ายมารองรับการบริหารคำสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ซึ่งเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการในการจัดเตรียมสินค้าก่อนการจัดส่งผ่านเครือข่ายการให้บริการของ DHL
บริการจัดส่งสินค้าอีคอมเมิร์ซในรูปแบบ B2C ไปยังลูกค้าต่างประเทศโดยตรง
นอกเหนือจากการให้บริการด้านการจัดส่งสินค้าภายในประเทศ DHL eCommerce ยังช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยขยายธุรกิจสู่ตลาดอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศ ด้วยบริการจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศแบบ B2C ในราคาประหยัด การให้บริการด้านfulfillment ที่คิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริง "เรามุ่งมั่นที่จะร่วมพัฒนาและสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศไทยตามนโยบาย'ดิจิตอล ไทยแลนด์' ของรัฐบาลที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2559 ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับองค์กรธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธุรกิจ SMEs ในการปรับเปลี่ยนการดำเนินงานและการให้บริการมาเป็นรูปแบบดิจิตอล" มัลคอล์ม มอนเตโร ประธานกรรมการบริหาร DHL eCommerce เอเชียแปซิฟิก กล่าว
"ประเทศไทยนับเป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเราคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นผลมาจากการที่ธุรกิจ SMEs จำนวนมากต้องการขยายธุรกิจสู่ตลาดออนไลน์ ดีเอชแอล อีคอมเมิร์ซมุ่งมั่นที่จะเสริมศักยภาพให้แก่ธุรกิจของไทย เพื่อให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซทั้งในประเทศและต่างประเทศ"
ตามที่ระบุไว้ในรายงานฉบับล่าสุดของ DHL โอกาสสำหรับตลาดอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศมีอัตราการเติบโต (~25%) ซึ่งสูงกว่าตลาดค้าปลีกแบบเดิมๆ[3] DHL eCommerce และ DHL Express ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกัน ร่วมสนับสนุนผู้ประกอบการออนไลน์ของไทยในการก้าวเข้าสู่ตลาดโลกด้วยโซลูชั่นการจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศของ DPDHL Group โดยที่ DHL Express ให้บริการจัดส่งที่รวดเร็วระดับพรีเมียม ขณะที่ DHL eCommerce พร้อมให้บริการที่ได้มาตรฐานในราคาที่ประหยัดกว่าเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังสามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายศูนย์กระจายสินค้าของ DHL eCommerce ในสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก ยุโรป ฮ่องกง ออสเตรเลีย และอินเดีย เพื่อให้สินค้าส่งถึงมือผู้บริโภคในภูมิภาคดังกล่าวได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
"มีการคาดการณ์ว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซรูปแบบ B2C ระหว่างประเทศจะมีขนาดใหญ่ขึ้นจนแตะระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปีพ.ศ. 2563 และในปีที่ผ่านมา DHL eCommerce ประเทศไทยมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วโดยที่เราได้ขยายการให้บริการใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค" ชาร์ลส์ บรูเออร์ ประธานกรรมการบริหาร DHL eCommerce กล่าว "เรารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพได้มาตรฐานจนถึงมือผู้บริโภคด้วยรอยยิ้ม และเรายังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอทางเลือกที่หลากหลายทั้งสำหรับการรับและการจัดส่งสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด"