กรุงเทพฯ--10 มี.ค.--แกรนท์ ธอนตัน
เนื่องในวันสตรีสากลโลก ผลสำรวจธุรกิจประจำปีฉบับใหม่ของแกรนท์ ธอนตัน จากธุรกิจกว่า 5,500 ราย ใน 36 ประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ เผยถึงสัดส่วนผู้บริหารระดับสูงที่เป็นผู้หญิงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้น ได้เพิ่มจำนวนขึ้นจากร้อยละ 23 ในปี 2559 เป็นร้อยละ 25 ในปี 2560 โดยแรงขับเคลื่อนหลักในครั้งนี้ มาจากกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมีสัดส่วนของผู้บริหารระดับสูงที่เป็นผู้หญิงเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 26 ในปีก่อน มาเป็นร้อยละ 29 ในปีนี้ ขณะที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงที่อยู่ที่ร้อยละ 13 อย่างไรก็ตามสัดส่วนของธุรกิจที่ไม่มีผู้หญิงในฐานะผู้บริหารระดับสูงเลยทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้น กลับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 31 ในปี 2559 เป็นร้อยละ 35 ในปี 2560 อีกด้วย
ในประเทศไทยสัดส่วนของผู้บริหารหญิงในปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 31 และถือเป็น 1 ใน 3 อันดับแรกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกรองจากอินโดนีเซีย (ร้อยละ 46) และฟิลิปปินส์ (ร้อยละ 40) ตามลำดับ โดยในปีนี้ผลสำรวจยังพบว่ามีธุรกิจถึงร้อยละ 25 ในประเทศไทยที่ไม่มีผู้หญิงในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงเลย เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 21 ในปี 2559 ทั้งนี้ ตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือ CEO (ร้อยละ 40) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงินหรือ CFO (ร้อยละ34) เป็นตำแหน่งงานที่มีสัดส่วนผู้หญิงดำรงตำแหน่งมากที่สุดในผลสำรวจของประเทศไทย ขณะที่ผลสำรวจทั่วโลกพบธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับท่องเที่ยวมีสัดส่วนผู้หญิงในผู้บริหารระดับสูงที่สุดถึงร้อยละ 37
โนเอล แอชโพล หุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชีของแกรนท์ ธอนตัน ในประเทศไทยกล่าวว่า "ในปีนี้ตัวเลขสัดส่วนของผู้หญิงในฐานะผู้บริหารระดับสูงของภาคธุรกิจต่างๆ ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามเรายังต้องการความคืบหน้าที่มากกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนธุรกิจที่ไม่มีผู้หญิงในทีมผู้บริหารระดับสูงนั้นเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง และนักธุรกิจเหล่านั้นจำเป็นต้องตระหนักและหันกลับมามองถึงศักยภาพของผู้หญิงที่ไม่ได้ถูกใช้ในการบริหารจัดการอย่างเต็มที่"
"สำหรับประเทศไทย แม้ว่าเราจะยังอยู่ในสามอันดับแรกเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในเอเชียแปซิฟิกเอง แต่อาจมีแนวโน้มที่กำลังจะลดลง หากเราไม่พยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนผู้หญิงในโลกธุรกิจ เราอาจต้องเผชิญหน้ากับปัญหาแบบเดียวกับกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มีสัดส่วนผู้บริหารหญิงแค่เพียงร้อยละ13 การสร้างความสมดุลระหว่างบทบาทการเป็นแม่ที่ดีและการประสบความสำเร็จในอาชีพยังคงเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้หญิงไทย สำหรับผู้หญิงไทยส่วนใหญ่แล้วแม้ครอบครัวมักเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกเสมอ แต่ในบางครั้งเราก็จำเป็นต้องเลือกระหว่างการให้เวลากับครอบครัวหรือมีการมีหน้าที่การงานที่ประสบความสำเร็จ เพียงเพราะขาดกระบวนการสนับสนุนที่เพียงพอ"
นอกจากนี้ ผลการสำรวจทั่วโลกของแกรนท์ ธอนตัน ได้แสดงให้เห็นว่า กลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนายังคงเป็นผู้นำในเรื่องของความหลากหลาย (Diversity) มากกว่ากลุ่มประเทศเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว โดยในปีนี้ ยุโรปตะวันออกมีสัดส่วนผู้หญิงในบทบาทผู้บริหารมากที่สุดถึงร้อยละ 38 และสัดส่วนธุรกิจที่ไม่มีผู้หญิงในทีมผู้บริหารระดับสูงเลยมีเพียงแค่ร้อยละ 9 เท่านั้น ในขณะที่กลุ่มประเทศ MINT (เม็กซิโก อินโดนีเซีย ไนจีเรีย และตุรกี) มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกมากที่สุด โดยมีสัดส่วนผู้หญิงในบทบาทผู้บริหารเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 24 ในปี 2559 เป็นร้อยละ 28 ในปี 2560 และสัดส่วนธุรกิจที่ไม่มีผู้หญิงในทีมผู้บริหารระดับสูงนั้น ลดลงจากร้อยละ 36 ในปี 2559 เป็นร้อยละ 27 ในปี 2560
สิ่งนี้แสดงถึงความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญต่อประเทศเศรษฐกิจหลักในกลุ่มเศรษฐกิจ G7 ซึ่งมีสัดส่วนผู้หญิงในบทบาทผู้บริหารคงที่อยู่ที่ร้อยละ 22 และสัดส่วนธุรกิจที่ไม่มีผู้หญิงในทีมผู้บริหารระดับสูงที่ร้อยละ 39 ขณะที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอยู่ในอันดับรั้งท้ายของผลสำรวจเพราะมีสัดส่วนผู้หญิงที่เป็นผู้บริหารระดับสูงเพียงร้อยละ 13 และสัดส่วนธุรกิจที่ไม่มีผู้หญิงในบทบาทผู้บริหารสูงถึงร้อยละ 54 ถือเป็นภูมิภาคที่มีผลสำรวจแย่ที่สุดอีกด้วย
โนเอล กล่าวเสริมว่า "ผลสำรวจจากกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักนั้นอาจดูแล้วทำให้ท้อใจ สาเหตุของความไม่คืบหน้าในเรื่องดังกล่าวนั้นมันมีมากมายและแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมทางธุรกิจของแต่ละองค์กร ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและสังคมของประเทศหรือภูมิภาคที่พวกเขาอยู่อาศัย แต่อย่างไรก็ตาม ในปีนี้เรารู้สึกว่าปัญหาดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แม้บริษัทอาจมองว่าความท้าทายเกี่ยวกับปัญหาด้านความหลากหลายนั้นได้รับการจัดการแล้ว แต่หลักฐานที่บอกเรามันไม่เป็นเช่นนั้น"
"หลายบริษัทในวันนี้จำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิผล นวัตกรรม และพร้อมเปิดกว้างมากขึ้นหากพวกเขาต้องการที่จะเติบโต ความหลากหลายถือเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของพวกเขา องค์กรที่ไม่เปิดรับในเรื่องดังกล่าวอาจพาตัวเองไปสู่ความเสี่ยงในการปิดกั้นศักยภาพของตน และสูญเสียการเข้าถึงความคิดเห็นที่หลากหลายอีกด้วย"