จูบอหังการ ล่าข้ามโลก กำหนดฉาย 3 สิงหาคม 2544

ข่าวทั่วไป Monday July 9, 2001 09:49 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--9 ก.ค.--บัวนา วิสต้า อินเตอร์เนชั่นแนล
ข้อมูลงานสร้าง
ซุปเปอร์สตาร์นักบู๊ ผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว เจ็ต ลี ( หลี่ เหลียน เจี๋ย) และผู้กำกับเปี่ยมจินตนาการ ลุค เบซง (The Professional, The Fifth Element) ผนึกกำลังกันใน KISS OF THE DRAGON ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ลีรับบทเป็น หลิว หยวน เจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูงของจีน ผู้จำเป็นต้องเดินทางจากเซี่ยงไฮ้ มายังกรุงปารีส เพื่อปฏิบัติภารกิจสำคัญลับสุดยอด การมาปารีสของหลิวในครั้งนี้ เพื่อช่วยเหลือริชาร์ด (เชกี คาร์โย) เจ้าหน้าที่ตำรวจพฤติกรรมแปลก ที่มีเพียงอาวุธเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเสริมกำลังเขาอยู่ ทว่า ภารกิจครั้งนี้กลับเลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อคนที่หลิวมาเพื่อช่วยเหลือนั้น กลับเป็นคนทรยศต่อเขาเอง
หลิวตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ภายใต้แผนการอุบาทว์ เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นใดๆ เลย และจำต้องหลบหนีอยู่ในเมืองที่เขาแทบจะไม่รู้จักอะไรเลยด้วย ท่ามกลางสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ หลิวก็ได้พบกับหญิงสาวชาวอเมริกันคนหนึ่ง เธอชื่อ เจสสิก้า (บริดเจต ฟอนดา) ซึ่งถูกริชาร์ดบังคับให้เป็นโสเภณี และเมื่อทั้งเจสสิก้า และหลิวถูกตามล่าโดยศัตรูผู้เหี้ยมโหด และกลับกลอก ซึ่งกำลังจัดฉากให้คนทั้งคู่หลงเข้ากับดักทีละขั้นตอนนั่นเอง หลิวก็ให้สัญญาว่าจะช่วยเหลือเจสสิก้า แม้ว่าคำสัญญานั้นจะสั่นคลอนอาชีพการงานของเขา หรือแม้แต่ชีวิตของเขาเองก็ตาม
Buena Vista International ภูมิใจเสนอ KISS OF THE DRAGON โดยการร่วมมือของ Europa Corp. Production, Quality Growth International Ltd, Current & Immortal Entertainment และ Canal + นำแสดงโดย เจ็ต ลี (หลี่เหลี๋ยนเจี๋ย), บริดเจต ฟอนดา และเชกี คาร์โย กำกับการแสดงโดยคริส นาห์อง จากบทภาพยนตร์ของลุค เบซง และรอเบิร์ต มาร์ก คาเมน จากเค้าโครงเรื่องของเจ็ต ลี โดยมีลุค เบซง, เจ็ต ลี, สตีเวน เชสแมน และแฮปปี้ วอลเตอร์ส รับหน้าที่อำนวยการสร้าง กำกับภาพโดยเธียรี อาร์โบกาสต์, AFC ออกแบบงานสร้างโดย ฌาคส์ บุฟนัวร์ โดยมีมาร์โก เคฟ ทำหน้าที่ลำดับภาพ คอรี หยวน เป็นผู้กำกับคิวบู๊ และวินเซนต์ ทัลลี รับหน้าที่ซาวนด์ดีไซเนอร์ ส่วนดนตรีประกอบดั้งเดิมนั้น ได้เคร็ก อาร์มสตรองรับผิดชอบ ร่วมโปรดิวซ์โดยแบร์นาร์ เกรอเนต์
หลายปีมาแล้ว ที่ลีเป็นขวัญใจของแฟนหนัง โดยเริ่มจากฮ่องกง และขจรขจายไปทั่วโลก ด้วยฝีมือด้านการต่อสู้ และการแสดงกายกรรมของเขา หลังจากเปิดตัวอย่างงดงามในฮอลลีวูด ด้วยภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเรื่องแรกของเขา Lethal Weapon 4 ตามมาด้วยภาพยนตร์ติดอันดับบ็อกซ์ออฟฟิศอย่าง Romeo Must Die ลีก็พร้อมเผชิญกับโปรเจ็คท์ที่มีความทะเยอทะยานมายิ่งขึ้น เขาจินตนาการถึงภาพยนตร์ดรามา ที่ผสมผสานศิลปะการต่อสู้ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา และแอ็คชั่นฮีโร่ เข้ากับตัวละครที่มีความชัดเจน และจดจำได้ง่ายลีปิ๊งกับไอเดียเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐบาล ซึ่งแม้ว่าจะมีความสามารถ และความคล่องแคล่วอย่างมากก็ตาม แต่ก็ต้องไปหลงอยู่ในสถานที่ต่างถิ่น ซึ่งเขาไม่รู้จักและไม่คุ้นเคย "ผมไม่สนใจทำหนังเกี่ยวกับแอ็คชั่นฮีโร่ที่ต้องช่วยโลกให้พ้นภัยหรอก" ลีอธิบาย "ตัวละครของผม หลิว หยวนนั้น เขาเป็นหนึ่งในมือดีที่สุดของจีน บวกกับความสามารถอันเยี่ยมยอดในศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว และการฝังเข็ม และยังเป็นคนเด็ดเดี่ยว และกระตือรือร้นอีกด้วย แต่เขาก็เป็นคนธรรมดานี่แหละ ไม่ใช่ซุปเปอร์แมน และเมื่ออะไรๆ ไม่เป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น เขาก็ไม่รู้เลยว่า จะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร"
เมื่อหลิวได้พบกับเจสสิก้า ทุกอย่างก็ดูจะซับซ้อนยิ่งขึ้น "ตัวละครของผมไม่รู้หรอกว่า จะปฏิบัติกับเธอยังไง" ลีให้ความเห็น "เริ่มแรกเลย เขาคิดว่า เธอเป็นคนน่ารำคาญ จากนั้นก็เริ่มสงสารเธอ และสุดท้ายก็ตัดสินใจช่วยเธอ แต่ทางรัฐบาลกลับไม่อนุญาตให้เขาทำเช่นนั้น ดังนั้น เขาก็ต้องเลือกแล้วล่ะว่า จะทำตามสัญญา หรือจะปฏิบัติตามคำสั่งดี จากเริ่มแรกที่เขาต้องคอยดูแลใครอีกคนหนึ่ง ก็กลับกลายเป็นว่า เขาเป็นยิ่งกว่านักสู้เสียอีก เขาโตขึ้นในท้ายที่สุด "แล้วเขาก็พบว่า ตัวเองต้องต่อสู้และเจ็บตัวมากขึ้นแน่นอน" ลีเสริมอย่างรวดเร็วพร้อมรอยยิ้ม
การช่วยเหลือเป็นตัวสร้างเรื่อง ตัวละคร และสัมพันธ์ภาพ ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น จากนั้น ลีก็เข้าพบผู้สร้างหนังเปี่ยมจินตนาการ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลกคนหนึ่ง ซึ่งเขาก็คือ ลุค เบซง "ผมชอบหนังของลุคมาก ใน The Professional เป็นการผสมผสานทั้งดรามา ตัวละคร เนื้อเรื่อง และบทบู๊ชั้นเยี่ยมเชียวล่ะ" ลีกล่าว "ผมรู้ดีว่า เขามีแนวทางเฉพาะของตัวเอง แม้กระทั่งในความเป็นทริลเลอร์ เขาก็ยังให้ความสำคัญกับตัวละคร และความเป็นดรามาได้อย่างดีทีเดียว เขาบอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างจากที่คนสร้างหนังอเมริกันส่วนใหญ่เค้าทำกันน่ะ"
หลังจากเบซงรับรู้ไอเดียอันยอดเยี่ยมของลีแล้ว เขาก็รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง เพื่อนำความชำนาญในการสร้างภาพยนตร์ของเขา รวมถึงความสามารถในการเสริมความเป็นดรามา มาช่วยในโปรเจกต์นี้
และเมื่อได้รับเนื้อเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้จากลีแล้ว เบซงก็ชักชวนผู้เขียนบทภาพยนตร์ รอเบิร์ต มาร์ก คาเมน มาร่วมเขียนบทให้กับ KISS OF THE DRAGON นี้ ทั้งสองรู้จักกันมาเกือบ 10 ปีแล้ว และเคยร่วมงานกันมาก่อนใน The Fifth Element ตามความเห็นของคาเมนนั้น กระบวนการเขียนบทหนังเรื่องนี้ค่อนข้างเคร่งเครียด และเปี่ยมไปด้วยความสร้างสรรค์ไม่น้อยเลย "ลุคกับผมทำงานกันแบบไม่หยุดเลย 8 ชั่วโมงต่อวัน เป็นสัปดาห์ๆ เลยทีเดียว" คาเมนเล่า "เขาเป็นคนที่มีสมาธิดีที่สุดที่ผมเคยพบมาเลย แล้วเขาก็คอยกระตุ้นแล้วกระตุ้นเล่า จนกว่าจะได้ตามที่เขาต้องการ และเมื่อเขาลงมือเขียน นั่นหมายถึงเขาได้แก้ไขไว้ในหัวแล้ว"
"เราจดโน๊ตสั้นๆ เมื่อผมรู้แน่ชัดในสิ่งที่ลุคคิดเอาไว้ จากนั้นผมก็ตบแต่งให้เป็นรูปเป็นร่าง และเขาก็จะค่อยๆ แก้ไขมันอีกครั้ง" คาเมนกล่าวเสริม "ลุคจัดลำดับสิ่งต่างๆ ไว้ในหัวอยู่แล้ว และมันก็เป็นอย่างนั้น เมื่อผมเขียนบท 'ยาว' เกินไป เขาก็จะบอกว่า 'ไม่ เราต้องตัดตรงนี้ ตรงนี้ และตรงนี้ทิ้งไป' เรารู้จังหวะของกันและกันดีทีเดียว"
แม้ว่าคาเมนจะมีประสบการณ์เขียนบทภาพยนตร์หลายเรื่อง ก่อนจะได้พบกับลีก็ตาม แต่บุคลิกท่าทาง และลักษณะนิสัยของลี ก็ช่วยในเรื่องสัมพันธภาพระหว่างหลิว หยวน กับเจสสิก้า เป็นอย่างมาก "เราอยากจะสร้างการเคลื่อนไหวที่มีทั้งความสนุกสนาน ผสมผสานดรามา และมีความเป็นคนจริงๆ มากๆ เลยน่ะ" คาเมนกล่าว "เจ็ตเป็นคนซื่อสัตย์ และตรงไปตรงมาที่สุด เท่าที่ผมเคยพบมาเลยทีเดียว และเราก็สร้างตัวหลิว หยวนให้เป็นแบบนั้นแหละ ทั้งลุค และผมต่างก็ถามตัวเองว่า จะมีอะไรอีกที่จะทำให้ตัวละครต้องพบกับความยุ่งยากมากไปกว่านี้ นอกเหนือจากการถูกตำรวจครึ่งกรุงปารีสไล่ล่าแล้ว แล้วลุคก็พูดขึ้นว่า 'ง่ายมาก ก็ให้เธอเป็นโสเภณีสิ'" ทั้งคาเมน และลีเข้าขากันได้เป็นอย่างดี เมื่อพวกเขาได้พบกันในที่สุด ตัวคาเมนเองนั้นก็ฝึกศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวมาเป็นเวลานาน เช่นเดียวกับลี ดังนั้น ทั้งสองคนจึงแลกเปลี่ยนความคิดกันมากมาย เกี่ยวกับศิลปะภายในของจีน อย่างลัทธิเต๋า และศาสนาพุทธ เป็นต้น และความสัมพันธ์นี้ ก็ดำเนินต่อมาเรื่อยๆ จนลีเสนอความคิดเฉพาะของเขาในสคริปต์ขั้นสุดท้าย ถึงขนาดที่ว่า ลีได้มอบรางวัลแก่คาเมนด้วยชื่อจีนอันทรงเกียรติ อันแปลได้ว่า "มือสายฟ้าฟาด" "ก็เพราะว่าผมเขียนได้เร็วมากน่ะสิ" คาเมนตีหน้าตายกล่าว (ยังมีต่อ)
-อน-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ