กรุงเทพฯ--20 มี.ค.--โฟร์ฮันเดรท
ถิรไทย หรือ TRT ผู้นำตลาดหม้อแปลงไฟฟ้า และอุตสาหกรรมด้านพลังงานรายใหญ่ของประเทศ ฟอร์มสดตั้งแต่ต้นปีตุน Backlog แล้วกว่า 2,214 ล้านบาท (ณ 31/12/2559) แบ่งส่งมอบงานปี 60, 61 และ 62 จำนวน 1,464, 421, และ 329 ล้านบาท ตามลำดับ รวมถึงยังมีงานรอประมูลและอยู่ระหว่างการเสนอราคาจำนวน 13,475 ล้านบาท โดยกลุ่ม TRT มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 20-25% ประมาณการรายได้ปี 2560 คาดว่าจะเติบโต 25-30% จากปี 2559 โดยเป็นกลุ่ม Transformer คิดเป็น 68% และ เป็นกลุ่ม Non-Transformer คิดเป็น 32% ของรายได้รวม และยังคงรักษากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 20%-23% พร้อมตั้งเป้าปี 2562 คาดรายได้ทะลุ 4,290 ล้านบาท
นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือTRT ผู้นำตลาดหม้อแปลงไฟฟ้า และอุตสาหกรรมด้านเกี่ยวกับพลังงานรายใหญ่ของประเทศ เพื่อผลิตสินค้าตามคำสั่งซื้อของลูกค้า (made to order) เพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยถึงผลประกอบการปี 2559 ว่า รายได้ของบริษัทฯ จากการขายและบริการของปี 2559 ปรับตัวสูงขึ้น 14% เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากยอดขายหม้อแปลงไฟฟ้าในประเทศส่วนใหญ่เป็นของภาคเอกชน ปรับตัวสูงขึ้น 50% รวมถึง การรับรู้รายได้จากงาน O&M ปรับตัวสูงขึ้น จาก 111 ล้านบาทในปี 2558 มาเป็น 299 ล้านบาทในปี 2559 เพิ่มขึ้นคิดเป็น 169% ซึ่งในปี 2559 เป็นการรับรู้รายได้เต็มปี ของงาน O&M กำไรขั้นของกลุ่มธุรกิจ Transformer และ Non-Transformer ปรับตัวสูงขึ้นจาก 19% และ 15% ในปี 2558 มาเป็น 22% และ 38% ในปี 2559 ตามลำดับ
เนื่องจากการเลือกกลุ่มลูกค้าที่ต้องการการออกแบบทางวิศกรรมของทุกกลุ่มธุรกิจของถิรไทย ที่ตอบสนองความต้องการลูกค้าอย่างตรงจุด ซึ่งเป็นตลาดที่มี margin สูง ประกอบกับการการบริหารจัดการต้นทุนให้อยู่ในงบประมาณ ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร ในปี 2559 คิดเป็น 22% ของรายได้รวม เปรียบเทียบกับ ปี 2558 คิดเป็น 21% ซึ่งการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจาก การรับรู้ค่าใช้จ่ายในการบริหารของ JV ซึ่งในปี 2559 เป็นการรับรู้ค่าใช้จ่ายเต็มปี โดยเพิ่มขึ้นคิดเป็น 93% จากปี 2558 เป็นผลให้มีกำไรสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ 61 ล้านบาท เปรียบเทียบปี 2558 ขาดทุนสุทธิ (58) ล้านบาท
ปัจจุบันทางกลุ่ม TRT มีมูลค่างานคงเหลือที่ยังไม่ได้ส่งมอบ (Backlog) ณ. 31/12/2559 จำนวน 2,214 ล้านบาท แบ่งเป็นส่งมอบภายในปี 2560, 2561 และ 2562 จำนวน 1,464, 421, และ 329 ล้านบาท รวมถึง ยังมีงานรอประมูลและอยู่ระหว่างการเสนอราคา จำนวนทั้งสิ้น 13,475 ล้านบาท โดยกลุ่ม TRT มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 20-25% ประมาณการรายได้ปี 2560 คาดว่าจะเติบโต 25-30% จากปี 2559 โดยเป็นกลุ่ม Transformer คิดเป็น 68% และ เป็นกลุ่ม Non-Transformer คิดเป็น 32% ของรายได้รวม และมีประมาณกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 20%-22%
นายสัมพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากนี้ไปจนถึงปี 2562 บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดขายของกลุ่ม ถิรไทย ให้ถึง 4,290 ล้านบาท โดยมีกลยุทธ์ในการขยายฐานตลาดส่งออกหม้อแปลงไฟฟ้า ซึ่งจะเน้นตลาดในกลุ่มประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงโดยเฉพาะ กลุ่มประเทศ AEC โดยเน้นลูกค้าที่ต้องการวิศวกรรมการออกแบบ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มยอดส่งออกจาก 479 ล้านบาท ในปี 2559 เป็น 610 ล้านบาท ในปี 2560 หรือ เพิ่มขึ้นคิดเป็น 27% จากปี 2559 โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% ตั้งแต่ปี 2561 ถึง 2562
ทั้งด้านเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานผลิตหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นจากแผน PDP 2015 ซึ่งประมาณการงบลงทุนในโครงการระบบเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต สำหรับปี 2559-2563 อยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 2,000 ล้านบาท ซึ่ง TRT มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 25%-30%
นายสัมพันธ์ กล่าวอีกว่า "นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีกลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพของ กลุ่มงาน Steel Fabrication และงาน EPC ด้วยการเตรียมแผนเพื่อเข้ารับการรับรองมาตรฐานขั้นสูงต่างๆ (ตัวอย่างเช่น ASME ซึ่งคาดว่าจะได้รับการรับรองมาตรฐานในปี 2560) ทั้งด้านศักยภาพการผลิต และบุคลากร เพื่อเพิ่ม Value Added ซึ่งสามารถทำให้ยอดขายของงานกลุ่มงานนี้ สามารถเติบโตจาก จาก 161 ล้านบาทในปี 2559 เป็น 529 ล้านบาท ในปี 2560 โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2561 – 2562"
"เพื่อเสริมสร้างการเติบโตอย่างแข็งแรง และยั่งยืน กลุ่มบริษัท ถิรไทย ได้ปรับกลยุทธ์ในปีที่ผ่านมาโดยการเพิ่มธุรกิจใหม่ๆ ทำให้สัดส่วนโครงสร้างรายได้ ของธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า เปลี่ยนจาก 84% ในปี 2556 เป็น 73% ในปี 2559 และสัดส่วนของธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลงไฟฟ้า เพิ่มจาก 5% ในปี 2556 เป็น 27% ในปี 2559 โดยจะปรับสัดส่วนกลุ่มธุรกิจ ให้ยืดหยุ่น และเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจในอัตรากำไรที่ทำให้ กลุ่มบริษัท ถิรไทย เติบโตอย่างแข็งแรง"นายสัมพันธ์ กล่าวสรุปในตอนท้าย