กรุงเทพฯ--21 มี.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวที่ 'A(tha)' ให้กับหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของ บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC (ซึ่งมีอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ 'A(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ)
หุ้นกู้ของ SCCC ครั้งที่ 1/2560 มีจำนวนหลายชุด มูลค่ารวมไม่เกิน 1.3 หมื่นล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนภายในปี พ.ศ. 2572 ได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ SCCC เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะนำไปใช้สำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ชำระคืนหนี้ที่ครบกำหนด และใช้สำหรับการลงทุนในอนาคต
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
ประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงที่ดีขึ้น – ฟิทช์คาดว่า การกระจายความเสี่ยงของแหล่งที่มาของรายได้ในเชิงภูมิศาสตร์ที่มากขึ้นของ SCCC จะช่วยลดข้อจำกัดจากประเด็นการมีตลาดหลักเพียงตลาดเดียว SCCC มีการขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นในภูมิภาคอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา โดยการลงทุนสร้างกำลังผลิตใหม่ในประเทศกัมพูชา และการเข้าซื้อกิจการในประเทศบังคลาเทศ ศรีลังกา และเวียดนาม สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศน่าจะเติบโตขึ้นเกินระดับ 2 หมื่นล้านบาทในปี 2560 จาก 6 พันล้านบาทในปี 2558 ซึ่งรายได้จากต่างประเทศดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนเกือบร้อยละ 50 ของรายได้รวมในปี 2560
ตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่ง – SCCC เป็นบริษัทผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับร้อยละ 27-28 โดยวัดจากยอดขาย บริษัทฯ สามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดของตนเองไว้ได้ในช่วงที่มีการขยายกำลังการผลิตและการแข่งขันที่รุนแรงภายในประเทศในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยอาศัยชื่อเสียงของตราสินค้าประเภทปูนซีเมนต์และคอนกรีตผสมเสร็จที่เป็นที่รู้จักมาเป็นเวลานานของบริษัทฯ และอัตราส่วนกำไรที่ค่อนข้างสูงของบริษัทฯ ที่มีส่วนช่วยให้บริษัทฯ มีความยืดหยุ่นในการปรับราคาสินค้า ตำแหน่งทางการตลาดของกิจการที่เข้าซื้อมาก็มีความแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด (วัดจากปริมาณการจำหน่าย) ร้อยละ 39 ในประเทศศรีลังกา และประมาณร้อยละ 20 ในเวียดนามใต้ ในปี 2559
การฟื้นตัวของอัตราส่วนกำไร – ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่ายภาษีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA margin) ของ SCCC จะฟื้นตัวมาอยู่ในระดับร้อยละ 22-23 ในปี 2560-2561 โดยได้รับการสนับสนุนจากการเติบโตของความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศไทย และ EBITDA ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจในประเทศเวียดนามที่เข้าซื้อกิจการมา การแข่งขันในตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศที่รุนแรง ประกอบกับอัตราส่วนกำไรจากธุรกิจในประเทศบังคลาเทศที่ต่ำกว่าในประเทศไทย ส่งผลให้ EBITDA margin ของบริษัทฯ ลดลงมาอยู่ระดับร้อยละ 20 ในปี 2559 จากร้อยละ 23-24 ในปี 2557-2558 ฟิทช์มองว่าความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศไทยน่าจะเพิ่มสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยในปี 2560 เนื่องจากการฟื้นตัวที่ล่าช้าของความต้องการใช้ปูนซีเมนต์สำหรับก่อสร้างในหมวดที่อยู่อาศัยและการพาณิชย์ ฟิทช์คาดว่าอัตราการเติบโตของความต้องการใช้ปูนซีเมนต์จะปรับเพิ่มสูงขึ้นในปี 2561
ผลการดำเนินงานมีความอ่อนไหวต่อราคาพลังงาน – อัตราส่วนกำไรของบริษัทฯ มีความอ่อนไหวต่อระดับราคาพลังงาน โดยเฉพาะราคาถ่านหินและค่าไฟฟ้า ต้นทุนเชื้อเพลิง และไฟฟ้าโดยทั่วไปมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 70 ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด ฟิทช์คาดว่าราคาถ่านหินโดยเฉลี่ยในปี 2560 จะอยู่ในระดับที่สูงกว่าราคาเฉลี่ยของปี 2559 เนื่องจากอุปทานที่ลดลงในประเทศจีน
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
SCCC เป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่อันดับสองของประเทศไทย บริษัทฯ มีสถานะทางธุรกิจในด้านขนาดของธุรกิจ ตำแหน่งทางการตลาดในประเทศ และการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจ ที่ด้อยกว่าบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC (อันดับเครดิตปัจจุบัน 'A(tha)' แนวโน้มเครดิตเป็นบวก) ซึ่งอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม SCC มีอัตราส่วนหนี้สินโดยเฉลี่ยสูงกว่าบริษัทฯ ถึงแม้ว่าการลงทุนซื้อกิจการจะส่งผลให้ FFO adjusted net leverage ของบริษัทฯ เพิ่มสูงขึ้น แต่บริษัทฯ น่าจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 2.5 เท่าได้ในสามถึงห้าปีข้างหน้า
เมื่อเปรียบเทียบกับ บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO (อันดับเครดิตปัจจุบัน 'A-(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) SCCC มีลักษณะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่า โดย SCCC มีขนาดของธุรกิจที่ใหญ่กว่า รวมถึงการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ซึ่งรายได้และกำไรที่สามารถคาดการณ์ได้แน่นอนกว่าอุตสาหกรรมยางมะตอย TASCO เป็นผู้ผลิตยางมะตอยขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ในขณะที่ SCCC เป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่อันดับสองของประเทศ อย่างไรก็ตาม ตลาดปูนซีเมนต์มีขนาดใหญ่กว่าและครอบคลุมกลุ่มลูกค้าที่กว้างกว่าตลาดยางมะตอย นอกจากนี้ ผู้ผลิตยางมะตอยยังต้องเผชิญกับความผันผวนของราคาวัตถุดิบซึ่งได้แก่น้ำมันดิบเป็นหลักอีกด้วย ลักษณะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่าของ SCCC ส่งผลให้ SCCC มีอันดับเครดิตที่สูงกว่า TASCO แม้ว่าจะมีอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่า TASCO
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ
- การเพิ่มทุนจำนวน 1.7 หมื่นล้านบาทเสร็จสมบูรณ์ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2560
- ปริมาณการขายปูนซีเมนต์ในประเทศเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 2560 และเติบโตในระดับที่สูงขึ้นในปี 2561
- รายได้เติบโตในอัตราร้อยละ 40 – 50 ในปี 2560 ภายหลังจากมีการเข้าซื้อกิจการ บริษัท สยามซิตี้ซีเมนต์ (ลังกา) จำกัด และ Holcim (Vietnam) Limited
- EBITDA margin อยู่ที่ระดับร้อยละ 22-23 ในปี 2560 - 2561
- อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) ประมาณร้อยละ 60 ในปี 2560 - 2561
ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:
- การเพิ่มขึ้นของขนาดธุรกิจและ EBITDA margin ซึ่งส่งผลให้ SCCC มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่สามารถรักษา FFO adjusted net leverage ให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1.5 เท่าได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ ที่อยู่ในระดับสูงในปัจจุบัน ฟิทช์ไม่คาดว่าจะมีการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 18-24 เดือนข้างหน้า
ปัจจัยลบ:
- อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อรายได้ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง หรือมีการลงทุนขนาดใหญ่ที่ใช้เงินกู้เป็นแหล่งเงินทุน ซึ่งทำให้ FFO adjusted net leverage สูงกว่า 2.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
สภาพคล่อง
ความจำเป็นในการหาแหล่งเงินทุนเพื่อชำระคืนหนี้: ณ สิ้นปี 2559 บริษัทฯ มีหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 2.1 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ยืมระยะสั้นที่ใช้สำหรับการเข้าซื้อกิจการ บริษัทฯ วางแผนที่จะชำระคืนหนี้เหล่านี้ โดยการออกหุ้นเพิ่มทุน การกู้ยืม และการออกหุ้นกู้ ความเสี่ยงที่บริษัทฯ จะไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนเพียงพอต่อการชำระหนี้อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากบริษัทฯ มีผู้ถือหุ้นที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และมีประวัติที่ดีในการเข้าถึงเงินทุนผ่านตลาดทุน