(ต่อ3) บทประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์เรื่อง PLANET OF THE APES (พิภพวานร) ยึดทุกโรงทั่วไทย ฉายพร้อมสหรัฐอเมริกา 27 กรกฎาคมนี้

ข่าวทั่วไป Wednesday July 25, 2001 09:23 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--25 ก.ค.--Twentieth Century Fox
ผู้กำกับคิวบู๊ แอนดี้ อาร์มสตรอง ( Andy Armstrong ) เข้าใจว่า ภาพยนตร์เรื่อง "PLANET OF THE APES" จะต้องไม่ออกมาเหมือนกับภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นทั่ว ๆ ไป เขาสรุปว่า งานแอ็คชั่นจะเป็นองค์ประกอบเสริมภาพยนตร์แบบ ทิม เบอร์ตั้น ( Tim Burton ) เสียมากกว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีความเป็น ทิม และแนวคิดของเขาที่มีต่อตัวละครวานรทั้งหลายอย่างชัดเจน" อาร์มสตรองกล่าว "มันจะแข็งแรงกว่ามนุษย์ถึงหกเท่า, มีความแคล่วคล่อง, และเคลื่อนไหวฉับไวมาก เรามักจะเป็นวานรยืนอยู่บนขาหลังเพียงสองขาเกือบตลอดเวลา แต่ถ้าโมโห, หวาดกลัว หรือ ก้าวร้าว ขึ้นมาเมื่อไรมันก็จะย่อตัวลงใช้ทั้งสี่ขาเลย เราเรียกว่า "คร่อม" คือการวิ่งด้วยขาทั้งสี่ขา อาจจะเป็นการไล่ล่าเหยื่อ มันจะดูราวกับเป็น แท็งค์ขนาดใหญ่ที่มีสี่ขาเลยทีเดียว"
เมื่อบรรดาวานรเกรี้ยวกราดโมโหร้าย หรือกระโดดขึ้นคร่อมเข้าทำร้ายนี่เองที่ฝากรอยแผลบนลำตัวของ มาร์ค วอห์ลเบิร์ก ( Mark Wahlberg ) ซึ่งมักจะถูกจู่โจม และกระแทกคลุกฝุ่นโดยวานรหนักกว่าสามร้อยปอนด์บ่อยครั้ง "คุณจะรู้สึกราวกับว่า ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบอื่น เมื่อคุณตกอยู่กลางทะเลทรายและถูกไล่ล่าจากกองทัพวานร" เขากล่าว "ผมเจ็บตัวในหนังเรื่องนี้มากกว่าที่เคยแสดงมาทุกเรื่อง"
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ วอห์ลเบิร์ก ไม่ได้เป็น มนุษย์ เพียงคนเดียวที่เตรียมความพร้อมทางร่างกาย เอสเตลล่า วอร์เร็น ( Estella Warren ) ก็ต้องเข้าฉากบู๊ และแสดงเองได้อย่างดีเสียด้วย เธอเป็นนักว่ายน้ำลีลาใหม่ระดับแชมเปี้ยนชาวแคนาดา ( Canadian national champion synchronized swimmer ) และยังเคยได้รับเหรียญทองแดงในการแข่งขันระดับโลกมาแล้ว ซึ่งเธอก็สร้างความประทับใจให้กับคณะผู้สร้างภาพยนตร์ไม่น้อย เมื่อเธออาสาขี่ม้าข้ามห้วยน้ำที่มีอุณหภูมิระดับเยือกแข็งเอง ในฉากหนีจากกองทัพวานร "ถึงจะขี่ม้ามาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ฉากนี้ก็เล่นเอาใจหายใจคว่ำอยู่เหมือนกัน" เธอเล่า
การถูกวานรวายร้ายทุ่มคลุกฝุ่นนี่เป็นงานหลักของนักแสดงสาวที่จะต้องเจอแทบจะทุกวัน เพราะบทบาทนักต่อสู่เพื่อสิทธิมนุษยชนหัวรั้นของเธอนั่นเอง "เดน่า ไม่ยอมลดลาวาศอกให้กับอะไรง่าย ๆ " วอร์เร็น สาธยาย "เธอออกจะลุย ๆ และลงไม้ลงมือชนิดที่แอ็คชั่นฮีโร่ทั้งหลายเขาทำกัน"
ทิม เบอร์ตั้น ( Tim Burton ) เข้ามาร่วมงานในฉากแอ็คชั่นไม่น้อย ทั้งคอยเสริมความสมจริง และชี้แนะการแสดงเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ออกมาอย่างที่เขาปรารถนา เฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์ ( Helena Bonham Carter ) เล่าว่า "ทิมนี่ไม่ยอมอยู่ยิ่งเอาเสียเลย หัวกระเซิง และมือไม้ชี้โน่นชี้นี่อยู่ตลอด แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ใจเขาไปไวกว่าตัวจะตามทัน หลายฉากที่ถ่ายทำซูมเข้าใกล้กันแบบกามิกาเซ่เลยทีเดียว เขาเป็นคนที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ, สัญชาตญาณ, หัวใจ, และจิตวิญญาณจริง ๆ "ทิม ร้อธ ( Tim Roth ) ก็เห็นด้วยว่า "ผมจะเห็น ทิม กระโดดโหนโจนทะยาน, ล้มกลิ้งคลุกฝุ่น, ทุบหัวตัวเอง, ข้อศอกเจ็บ, และหัวเข่าได้เลือดแทบทุกวัน ท้ากันเลยก็ได้ว่า วันนี้ไม่ส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายของเขาจะต้องได้รอยฟกช้ำดำเขียวแน่นอน เราทุกคนทุ่มเทกันอย่างเต็มที่ก็เพราะ ทิม นี่ล่ะ เขาเป็นคนที่พวกเราทุกคนเคารพยำเกรง และรักนิยมชื่นชมเกินธรรมดาจริง ๆ "
งานออกแบบสร้างฉาก และการเลือกสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์
พิภพวานรนี่ควรจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ? ริค ไฮน์ริช ( Rick Heinrichs ) ผู้ออกแบบสร้างสรรค์ฉากวาดฝันที่จะเห็นมันมีทั้งป่า, ทุ่ง, และโลกดิบเถื่อนที่จะสะท้อนให้เห็นถึงโลกเก่าและโลกใหม่คละเคล้าอยู่ด้วยกัน "เราอยากให้สถานที่ถ่ายทำ และฉากต่าง ๆ มีความเป็นสัตว์ดิบเถื่อน และความศิวิไลซ์ปะปนอยู่ด้วยกัน แม้จะไม่เข้ากันอย่างกลมกลืนก็ตามทีเถอะ" เขากล่าว
การเปิดตัว ลีโอ เดวิดสัน ( Leo Davidson ) สู่พิภพวานรนี่ค่อนข้างจะโหดร้ายไม่เบา หลังจากที่อากาศยานของเขาตกลงในป่าดิบชื้น - สภาพรอบตัวที่มีความเป็นธรรมชาติแท้ ๆ ช่างขัดแย้งกับอากาศยานล้ำสมัยของเขาโดยสิ้นเชิง
คณะผู้สร้างภาพยนตร์พิจารณาป่าดิบชื้นที่จะนำมาใช้ถ่ายทำฉากนี้จากแทบจะทุกมุมโลก แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจสร้างฉากนี้ขึ้นในโรงถ่าย L.A. Center Studios ใจกลางลอส แองเจลิส ( Los Angeles ) "เราไปสำรวจป่าดิบชื้นแห่งหนึ่งในฮาวาย ( Hawaii ) ซึ่งสวยงามมาก" ไฮน์ริชเล่า "แต่มันยุ่งยากถ้าจะถ่ายทำให้ได้อย่างที่เราต้องการ เพราะเราจะต้องอาศัย 'เครื่องไม้เครื่องมือ' ประกอบการถ่ายทำฉากนี้ เราอยากถ่ายทำรอบ ๆ ต้นไม้ทั้งหลาย และสิ่งละอันพันละน้อยที่ต้องเข้ามาเสริมฉากแอ็คชั่นให้เร้าใจ ก็เลยต้องสร้างฉากนี้ขึ้นให้เป็นป่าอยากที่เราอยากได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปถ่ายทำกันในป่าจริง"
ฉากเด่นอีกฉากที่ไม่ไกลเกินเอื้อมนั้น คณะผู้สร้างภาพยนตร์ยกกองไปปักหลักกันที่ Big Island of Hawaii ซึ่งมีลานหินลาวาเชิงภูเขาไฟ Mt. Kilauea ที่ยังคุกรุ่นอยู่ ไฮน์ริช ย้ำความขัดแย้งกันระหว่าง ป่าดิบชื้น กับ ลานลาวา ช่วยให้ "ได้ความรู้สึกของโลกโบราณที่คุ้นหูคุ้นตา และโลกล้ำยุคที่เวิ้งว้างว่างเปล่าไร้ผู้คนอาศัยอยู่นั่นเอง"
ส่วนทะเลสาบโพเวล ( Lake Powell ) ในอริโซน่า ( Arizona ) ก็เป็นอีกฉากสำคัญ และยังเป็นฉากที่ย้อนกลับไปใช้สถานที่ถ่ายทำเดียวกันกับ "Planet of the Apes" ฉบับปี 1968 ด้วย เบอร์ตั้น และ ไฮน์ริช เลือกให้ ชายหาดของ Lake Powell เป็น หาดประกาศอิสระภาพ ( Independence Bay ) ซึ่งอยู่ห่างจากจุดถ่ายทำภาพยนตร์ฉบับดั้งเดิมหลายไมล์ โดยถ่ายทำฉากการปักหลักตั้งค่ายของกองทัพวานรในช่วงกลางคืน ซึ่งเมื่อช่วงกลางวัน มาร์ค วอห์ลเบิร์ก ( Mark Wahlberg ) และเพื่อนร่วมทางปีนผาหินเก่าสูงชัน แล้วมาซุ่มดูลาดเลาเพื่อบุกฝ่าด่านกองทัพวานรออกไป "หาด Independence Bay นี่แตกต่างไปจากชายหาดอื่น ๆ ของ Lake Powell ไม่น้อย" ไฮน์ริชเล่า "แต่ก็ไม่ต่างไปจากลานหินลาวาอื่น ๆ ที่เวิ้งว้าง และดูแปลกหูแปลกตา แต่ก็สวยงาม, น่าเกรงขาม, และน่าตื่นตาตื่นใจมากเลย"
ส่วน The Trona Pinnacles ในทะเลทรายบนที่ราบสูงแคลิฟอร์เนีย ( California ) ใกล้ ๆ กับหุบเขา Death Valley ก็เป็นสถานที่สำคัญ ( และเป็นอุทยานแห่งชาติด้วย ) ที่คณะผู้สร้างภาพยนตร์เจาะจงเลือกใช้ถ่ายทำด้วยความมั่นใจว่า จะช่วยตอกย้ำภาพลักษณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในช่วงระหว่าง 10,000 ถึง 100,000 ปีย้อนหลังไปทะเลสาบแห่งนี้ยังเป็นแผ่นดินเชื่อมติดกัน Trona Pinnacles ก่อตัวขึ้นใต้ผิวน้ำจากองค์ประกอบของสาหร่ายสีเขียว-น้ำเงิน และสารละลายที่ทำปฏิกิริยากัน ณ ระดับอุณหภูมิของโลกที่เหมาะสม การก่อตัวของ Calcium carbonate เป็นรูปร่างคล้ายหินปะการังมากกว่า 500 แท่ง บางแท่งสูงกว่า 140 ฟุตผุดขึ้นมาจากฐานของที่ราบ Searles Dry Lake ส่วนที่ผุพังเสื่อมสลายไปก็ก่อให้เกิดทะเลทรายเวิ้งว้าง และใช้เป็นสนามรบประจันบานกันระหว่าง มนุษย์หัวขบถรุ่นใหม่ กับ กองทัพวานรที่มีกำลังพลมหาศาล
ไฮน์ริช ยังตัดสินใจกลับไปใช้สถานที่ถ่ายทำที่สามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมได้ และสร้างเมืองขึ้นจากลานโล่ง ๆ โดยแท้ คณะผู้สร้างภาพยนตร์เนรมิตโรงถ่ายให้เป็น "เมืองวานร" ( "Ape City" ) ที่ทุกตารางนิ้วสะท้อนวิถีชีวิตของวานรที่มีอารยธรรมชั้นสูง คุณจะได้เห็นอากัปกิริยาทั้งหลายทั้งปวงของวานร ไม่ว่าจะเป็น หลับนอน, กินอาหาร, เลี้ยงดูครอบครัว, เล่นการเมือง, ต่อรองธุรกิจการค้า, สนุกสนานกับการละเล่นและกิจกรรมบันเทิง, และสรวลเสเฮฮานินทากันเองในหมู่วานรด้วยกัน
ไฮน์ริช ออกแบบให้เมืองสะท้อนความไม่ลงตัวระหว่าง ธรรมชาติ กับ สถาปัตยกรรม เมืองที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์เลื้อยพันรอบเสาหินที่ตั้งโด่เด่เต็มเมืองไปหมด คณะผู้สร้างภาพยนตร์ยังตกแต่ง และตั้งแผงตั้งเพิงร้านค้าที่เต็มไปด้วยสินค้าหลากหลายสีสัน เมืองจะขนาบข้างถนนสายแคบ ๆ ด้วยผาสูงชัน ส่วนลานโล่งตรงกลางเมืองก็จะมีบันไดคดเคี้ยวขึ้นไปสู่กรงไม้ที่กักขังมนุษย์เยี่ยงทาส
งานนี้ท้าทายความสามารถของ ไฮน์ริช ด้วยขนาดงานสร้างที่ใหญ่โต, มีรายละเอียดมากมาย, และจะต้องได้ภาพของป่าแท้ ๆ ในโรงถ่ายทำภาพยนตร์ "เราไม่อยากให้เมืองวานร ( Ape City ) ออกมาคล้ายกับการใช้ชีวิตอยู่ในกล่อง" เขาสาธยาย แม้วิช่วลเอ็ฟเฟ็คจะเข้ามาช่วยเสริมภาพ และความอลังการได้ในภายหลัง แต่คณะผู้สร้างภาพยนตร์ก็พยายามเก็บรายละเอียดจากฉากจริงให้ได้มากที่สุด ทั้งการจัดแสง และองค์ประกอบของภาพ ที่จะได้ภาพใกล้เคียงกับการถ่ายทำนอกสถานที่ขนาดมหึมากันจริง ๆ "เราอยากได้สัมผัสของเครื่องยนต์กลไกมาช่วยสื่อสารเรื่องราวจากจินตนาการของ ทิม เบอร์ตั้น ( Tim Burton ) - และถ้าจำเป็น เราก็จะฉีกไปจากแนวแอ็คชั่นให้ได้"
เมืองวานร ถูกออกแบบเป็นโมเดลโฟม เพื่อให้ทั้ง เบอร์ตั้น และ ไฮน์ริช ปรับแต่งจะกว่าจะถูกใจ แล้วจึงสร้างฉากจริงในโรงถ่าย งานนี้ต้องใช้ทั้ง ไม้, เหล็ก, โฟม, ปูนพลาสเตอร์, และปูนซีเมนต์ โดยใช้เวลาก่อสร้างนานกว่าสี่เดือน และคนงานกว่าร้อยชีวิต ทั้งช่างไม้, ช่างปูน, ช่างแกะสลัก, ช่างสี, คนงาน, และคนแต่งสวน(ยังมีต่อ)
-อน-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ