กรุงเทพฯ--27 มี.ค.--กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อุตสาหกรรมอาหารขนาดใหญ่อย่างมาร์ส และเนสท์เล่ ประกาศให้คำมั่นต่อสาธารณชนว่าห่วงโซ่อุปทานอาหารสัตว์เลี้ยงของบริษัทจะปลอดจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนและอาหารทะเลที่มาจากการประมงที่ผิดกฎหมายหลังจากมีแรงกดดันจากทั่วโลก คำมั่นสัญญาครั้งนี้ยังครอบคลุมถึงการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำกลางทะเล ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อบริษัทไทยยูเนี่ยน ผู้จัดหาวัตถุดิบอาหารทะเลรายใหญ่ให้แก่ทั้งสองบริษัทนี้ให้ขจัดการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการทำประมงอย่างผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม ในห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด
เนสท์เล่ให้คำมั่นสัญญาที่จะยกเลิกการใช้วัตถุดิบที่ได้จากการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำกลางทะเลในห่วงโซ่อุปทานอย่างเต็มรูปแบบ ขณะที่มาร์สก็ให้คำมั่นที่จะระงับคำสั่งซื้อวัตถุดิบที่ได้จากการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำกลางทะเลเป็นการชั่วคราว หากบริษัทที่จัดหาวัตถุดิบอาหารทะเลยังไม่มีมาตรการแก้ไขปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนและการประมงอย่างผิดกฎหมายตามระเบียบปฏิบัติ โดยให้เวลาอีกไม่นานนับจากนี้
"เจ้าของสัตว์เลี้ยง และนักกิจกรรมต่างเรียกร้องให้บริษัทเหล่านี้หยุดละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นนี้จะหยุดยั้งการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำกลางทะเล ที่ไร้การควบคุมมาตลอด นั่นหมายความว่า เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นแล้ว" เกรแฮม ฟอร์บส์ ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทร กรีนพีซ สหรัฐอเมริกา กล่าว
"คำมั่นสัญญาจากบริษัทผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ที่สุดในโลกทั้งสองแห่งนี้ จะแก้ปัญหาการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำกลางทะเลได้ เพราะเป็นแรงกดดันที่เป็นนัยสำคัญต่อผู้จัดหาวัตถุดิบ อย่างบริษัทไทยยูนี่ยน ให้แสดงภาวะผู้นำเพื่อจัดการขจัดสิ่งที่ไม่ถูกต้องในห่วงโซ่อุปทานอาหารทะเลของตัวเอง เช่น ปัญหาเรื่องการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำกลางทะเล เป็นต้น เราจะตรวจสอบอย่างใกล้ชิดเพื่อให้บริษัทมาร์สและเนสท์เล่ยึดมั่นในนโยบายของตัวเองในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงให้กับมหาสมุทรของเรา"
กรีนพีซเริ่มรณรงค์ประเด็น Cats vs Bad Tuna มาตั้งแต่ปี 2559 เพื่อเรียกร้องให้มาร์ส จัดการกับห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดของตน ให้ปลอดจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่อาจเกิดขึ้นได้ รายงานพลิกวิกฤต ของกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยให้เห็นความเสี่ยงที่เราไม่อาจยอมรับได้ จากอาหารทะเลที่ปนเปื้อนการละเมิดสิทธิมนุษยชน ถูกป้อนเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานหลายรูปแบบตลอดทั่งปี 2559 ซึ่งรวมถึงห่วงโซ่อุปทานของเนสท์เล่ และไทยยูเนี่ยน บริษัทเนสท์เล่ให้คำมั่นสัญญาโดยทันทีที่จะแก้ไขปัญหาที่กำลังเป็นที่วิตกนี้ เมื่อพบว่ามีชื่อของบริษัทอยู่ในรายงานฉบับนี้ ส่วนบริษัทมาร์ส ให้คำมั่นที่จะจัดการกับการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำกลางทะเลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบในห่วงโซ่อุปทานอาหารสัตว์เลี้ยง ให้แล้วเสร็จภายในเดือนนี้
"ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เนสท์เล่และกรีนพีซได้ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับนโยบายที่ครอบคลุมการจัดซื้อจัดจ้างและการจัดหาแหล่งวัตถุดิบอาหารทะเลของเนสท์เล่ที่มีความรับผิดชอบ" แจ็ค สก็อตต์ หัวหน้าส่วนความยั่งยืน บริษัทเนสท์เล่ เพียวริน่า เพทแคร์ กล่าว "จากรายงานของกรีนพีซ? บริษัทเนสท์เล่พร้อมให้คำมั่นต่อการยุติการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำกลางทะเลทั้งหมดตลอดห่วงโซ่อุปทานอาหารสัตว์เลี้ยง"
การขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำกลางทะเล เป็นกระบวนการหนึ่งที่บริษัทประมงหลายแห่งใช้ขนถ่ายปลาจากเรือลำหนึ่งไปยังอีกลำหนึ่ง เพื่อยืดเวลาให้เรือประมงที่ทำประมงกลางทะเล ยังคงลอยลำจับปลากลางทะเลได้นานขึ้น อีกทั้งเป็นการหลบเลี่ยงกฎระเบียบ และกักตัวลูกเรือประมงให้ทำงานต่อได้อีกนาน ความเชื่อมโยงที่แย่กว่านี้ คือ การละเมิดสิทธิมนุษยชน การขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำกลางทะเลยังเป็นการเปิดโอกาสให้เรือประมงเถื่อนสามารถขนถ่ายปลาและสัตว์ทะเลที่ผิดกฎหมายเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทาน โดยหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่บนฝั่ง เมื่อปี 2558 พบว่า การขนถ่ายเหล่านี้ประมาณร้อยละ 40 เกิดขึ้นในทะเลหลวง ซึ่งอยู่นอกขอบเขตของกฎหมายของชาติใดๆ การขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำกลางทะเลอาจมีส่วนเชื่อมโยงกับขบวนอาชญากรรม ยาเสพติด อาวุธ และการค้าสัตว์ป่าด้วย
คำมั่นสัญญาของมาร์สและเนสท์เล่ เป็นการส่งสัญญาณที่ทรงอิทธิพลต่อบริษัทไทยยูเนี่ยน ให้แก้ไขการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำกลางทะเลในห่วงโซ่อุปทานของบริษัท กรีนพีซกำลังรณรงค์ผลักดันบริษัทไทยยูเนี่ยนให้ปรับปรุงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับแรงงานและมหาสมุทรของเรา ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานของอาหารทะเล กรีนพีซรณรงค์เรียกร้องไปยังบริษัทไทยยูเนี่ยนตั้งแต่ปี 2558 ให้เป็นผู้นำอุตสาหกรรมอาหารทะเล โดยยุติการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำกลางทะเล เพื่อแก้ปัญหาการประมงเกินขนาดและประมงแบบทำลายล้าง และเพิ่มมาตรการการตรวจสอบย้อนกลับอาหารทะเลตั้งแต่จากทะเลสู่จาน
"บริษัทมาร์สตระหนักถึงความเสี่ยงต่าง ๆ จากปัญหาการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำกลางทะเล เราต้องการให้เกิดการเคารพสิทธิมนุษยชนและปกป้องสิ่งแวดล้อม ในห่วงโซ่อุปทานอาหารทะเลทั้งกระบวนการของเรา" อิซาเบล เอลเวียต ผู้อำนวยการด้านความยั่งยืนสากล บริษัท มาร์ส เพทแคร์ กล่าว "ปัญหาที่เกิดจากการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำกลางทะเลเป็นประเด็นที่เราจริงจังและต้องการให้เกิดการแก้ไขโดยเร็ว เรามุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับผู้จัดหาวัตถุดิบของเราเพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านี้ แต่หากไม่สามารถแก้ไขได้ตรงตามความพอใจและรวดเร็ว เราก็จะยุติการใช้วัตถุดิบที่ได้จากการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำกลางทะเลในกระบวนการผลิตของเรา จนกว่าปัญหารุนแรงนี้จะได้รับการแก้ไข"
รายงานจาก Global Fishing Watch ที่เผยแพร่เมื่อเร็วๆนี้ ยังได้ย้ำถึงปัญหาที่เกิดจากการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำกลางทะเล จากรายงานพบว่า ระหว่างปี 2555 - 2559 มีเรือขนส่งที่มีห้องเย็น เกี่ยวข้องกับกระบวนการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำกลางทะเลมากกว่า 5,000 ลำ โดยรายงานการสืบสวนสอบสวนของนิวยอร์คไทม์ เมื่อปี 2558 ยังพบว่า บริษัทที่เป็นผู้จัดหาวัตถุดิบของบริษัทมาร์ส และเนสท์เล่ มีส่วนเชื่อมโยงกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นกลางทะเล