กรุงเทพฯ--30 มี.ค.--ดีซี คอนซัลแทนส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมูนิเคชั่นส์
บริษัท รักษาความปลอดภัย พีซีเอส และ ฟาซิลิตี้ เซอร์วิสเซส จำกัด ประกาศความพร้อมขานรับพระราชบัญญัติธุรกิจรักษาความปลอดภัย พ.ศ. 2558 ชี้เป็นโอกาสขยายธุรกิจมากกว่า ถือเป็นความท้าทายเพื่อยกระดับมาตรฐานธุรกิจรักษาความปลอดภัยในประเทศไทย
ผ่านพ้นไปไม่นานกับเส้นตายวันที่ 26 ก.พ. ที่ผ่านมา ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดให้ผู้ประกอบการธุรกิจรักษาความปลอดภัย และพนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ทั่วประเทศต้องมาขึ้นทะเบียนขอรับใบอนุญาตอย่างเป็นระบบตามพระราชบัญญัติธุรกิจรักษาความปลอดภัย พ.ศ.2558 หลังจากขยายเวลาบังคับใช้มาแล้วถึง 2 ครั้ง ซึ่งนอกจากการขึ้นทะเบียนแล้ว สาระสำคัญของ พ.ร.บ. ฉบับนี้ยังสงวนอาชีพนี้ให้ผู้มีสัญชาติไทยเท่านั้น และมีวุฒิการศึกษาขั้นต่ำที่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และต้องผ่านการฝึกอบรมจากศูนย์ฝึกตำรวจเกี่ยวกับความรู้ที่จำเป็นภาคทฤษฎีและปฏิบัติ 40 ชั่วโมง อาทิ กฎหมายเบื้องต้นเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย การรักษาความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การจัดการจราจร และการฝึกภาคสนาม
นายเซบาสเตียน พาวเวอร์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการ บริษัท รักษาความปลอดภัย พีซีเอส และ ฟาซิลิตี้ เซอร์วิสเซส จำกัด ในเครือโอซีเอสจากประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่า ทางบริษัทได้เตรียมพร้อมทุกอย่าง เพื่อรองรับการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้มานานแล้ว ตั้งแต่การขึ้นทะเบียนผู้ประกอบธุรกิจในส่วนของบริษัทเอง และ รปภ. รวมประมาณ 14,000 คน ที่เข้าทำงานก่อนวันที่4 มีนาคม 2559 และมีวุฒิการศึกษาขั้นต่ำไม่ถึงชั้น ม.3 ซึ่งได้รับการอนุโลมยกเว้น ในส่วนพนักงานที่เหลือซึ่งเข้าทำงานหลังวันที่ 4 มีนาคม 2559 นั้นได้มีการเตรียมเอกสารทุกอย่างเอาไว้แล้วพร้อมยื่นขอขึ้นทะเบียนได้ทันที
ในส่วนการฝึกอบรมพัฒนาทักษะวิชาชีพ รปภ. เป็นเรื่องที่บริษัทฯ ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว โดยใช้หลักสูตรที่ได้มาตรฐานสากลจากประเทศอังกฤษ ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ค่อนข้างใกล้เคียงกับหลักสูตรของศูนย์ฝึกตำรวจ แต่อาจต้องปรับเพิ่มเล็กน้อยในส่วนความรู้เกี่ยวกับการป้องกันตัว ตรงนี้อยู่ระหว่างหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอการรับรองอย่างเป็นทางการ ปัจจุบัน พีซีเอสมีการฝึกอบรม รปภ. เฉลี่ยเดือนละประมาณ 600-800 คน และมีจำนวน รปภ. ทั่วประเทศราว 15,000 คน ซึ่งถือว่ายังไม่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้เพียงพอ เนื่องจากความต้องการใช้บริการรักษาความปลอดภัยยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดใหญ่ของ พีซีเอสอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นอันดับ 1 ตามมาด้วยห้างสรรพสินค้าธุรกิจค้าปลีก โรงพยาบาลและสถานศึกษา และอาคารพาณิชย์ต่างๆ ตามลำดับ
ปัจจุบัน ประเทศไทยมี รปภ. อยู่ราว 4.5 แสนคนทั่วประเทศ แต่ที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกำหนดมีอยู่ประมาณ 2 แสนคนเท่านั้น ที่ไม่มาขึ้นทะเบียนซึ่งอาจเป็นไปได้เรื่องติดขัดเรื่องประวัติอาชญากรรมหรือไม่ได้มีสัญชาติไทย พีซีเอสจึงมองว่าการบังคับใช้ พ.ร.บ. นี้เป็นโอกาสที่ทางบริษัทจะขยายธุรกิจได้อีกมาก ทั้งด้วย Know-how ความเชี่ยวชาญในการให้บริการ และความเอาใจใส่ที่มีต่อลูกค้า มายาวนานถึง 35 ปี ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถป้อนแรงงาน รปภ. ที่มีคุณภาพเข้าสู่ตลาด ช่วยยกระดับมาตรฐานธุรกิจรักษาความปลอดภัยในประเทศไทยได้
ปัจจุบันรายได้ของพีซีเอสยังมาจากบริการรักษาความปลอดภัยเป็นหลักคิดเป็น 60% อีก 25% มาจากบริการแม่บ้านทำความสะอาด และ 15% การบริหารจัดการอาคารแบบครบวงจร หรือ TFM (Total Facilities Management) เข้ามาปรับใช้เพื่อยกระดับการผลิตและการบริการ และแบ่งเบาภาระงานด้วยการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ อาทิ งานด้านการรักษาความปลอดภัย งานแม่บ้าน ให้บริการกำจัดแมลงและสัตว์รบกวน บริการสุขอนามัยในห้องน้ำ ระบบรักษาความปลอดภัยแบบอิเล็กทรอนิคส์ ระบบเตือนภัย ระบบโทรทัศน์วงจรปิด รวมถึงการบริหารงานสถานที่จอดรถยนต์ เป็นต้น ซึ่ง TFM มีแนวโน้มการเติบโตในพอร์ตบริษัทได้อีกมาก เนื่องจากเพิ่งเปิดให้บริการมา 5 ปี และค่าบริการค่อนข้างสูงจากการให้บริการแบบครบทุกส่วนงาน ดังนั้นกลยุทธ์ปี 2560 จะเน้นสัญญาลักษณะ TFM เป็นหลัก โดยพีซีเอสตั้งเป้าเติบโตด้านรายได้ 10% ในปี 2560 และมองว่าตลาดจะเป็นไปในทิศทางบวก