กรุงเทพฯ--4 เม.ย.--อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น
ในยามที่เราต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยทางร่ายกายและจิตใจ คนส่วนใหญ่มักพึ่งพิงการแพทย์สายหลัก (Conventional Medicine) ซึ่งก็คือการแพทย์ที่เรานิยมใช้กันในปัจจุบันที่มีพื้นฐานมาจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่พัฒนาในช่วง 200-300 ปีที่ผ่านมา แม้การแพทย์สายหลักจะสามารถรักษาโรครุนแรงและเฉียบพลันได้เป็นอย่างดี แต่ก็มีจุดอ่อนเรื่องภาวะแทรกซ้อนและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการรักษา รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่มีแน้วโน้มสูงขึ้น และการแพทย์แบบนี้ยังเน้นไปที่การรักษามากกว่าการส่งเสริมสุขภาพ
ปัจจุบันหลายคนจึงหันไปหาศาสตร์การแพทย์อื่นเพื่อเป็นทางเลือก และในบรรดาศาสตร์การแพทย์ต่างๆ ที่มีอยู่มากมายนั้น มีอยู่ศาสตร์หนึ่งที่ได้รับความสนใจนั่นคือ การแพทย์พลังงาน ซึ่งเป็นที่นิยมมากในต่างประเทศ เพราะนอกจากจะตอบโจทย์เรื่องประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่มีหลักฐานยืนยันทางวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้ว ยังทำให้ประชาชนสามารถดูแลสุขภาพในเชิงป้องกันและเป็นหมอให้กับตัวเองได้อีกด้วย อันตรายหรือผลข้างเคียงน้อยมาก รวมทั้งค่าใช้จ่ายก็ยังถูก
ประโยชน์ที่น่าสนใจของการแพทย์พลังงานที่นำมาใช้ในการบำบัดปัญหาสุขภาพได้เป็นอย่างดี ทำให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เชิญ นพ.วิโรจน์ ตระการวิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลนครธน คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานบำบัด ผู้เขียนหนังสือทำง่ายหายป่วยด้วยพลังชีวิต มาแบ่งปันข้อมูลให้ประชาชนที่สนใจฟังในงาน SOOK Activity ซึ่งจัดขึ้นที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. เมื่อเร็วๆ นี้
นพ.วิโรจน์ กล่าวว่า พลังชีวิต หรือ ชี่ เป็นพลังงานที่หล่อเลี้ยงชีวิต ไหลเวียนไปทั่วร่างกายของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดถ้าเกิดความผิดปกติในชี่ เช่น อ่อนแรง ไม่สะอาด ไม่สมดุล อุดตัน ไหลเวียนไม่ดี จะทำให้สิ่งมีชีวิตนั้นเจ็บป่วยเป็นโรคได้ ในหลักการแพทย์แผนจีนให้ความสำคัญกับชี่มากและมีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชี่มายาวนานกว่า 3,000 ปี
"เทคนิคในการเสริมสร้างพลังชีวิต มี 3 ข้อ คือ หลีกเลี่ยงพลังงานลบ เช่น คนที่จุกจิกจู้จี้ ขี้บ่น ระแวง ริษยา อาฆาต พูดมาก ไร้สาระ อาหารขยะ อาหารปนเปื้อน มลภาวะ สถานที่อโคจร ขณะเดียวกันให้ รับพลังงานบวก เช่น เพื่อนดีที่ให้การช่วยเหลือและให้กำลังใจ อาหารสดใหม่ที่มีประโยชน์ ธรรมชาติสดชื่นบริสุทธิ์ สุดท้ายคือ เสริมสร้างพลังงานภายใน โดยการฝึกชี่กงเพื่อควบคุมบริหารจัดการพลังชีวิตในร่างกายให้ไหลกระจายไปตามเส้นประสาทลมปราณ ซึ่งชี่กงถูกจัดว่าเป็นศาสตร์การแพทย์แผนจีนแขนงหนึ่งนอกเหนือจากการฝังเข็ม การนวด และการใช้ยาสมุนไพร แต่สิ่งที่ชี่กงต่างจากการแพทย์แผนจีนแขนงอื่นก็คือ ชี่กงจะเน้นไปที่การส่งเสริมสุขภาพมากกว่าการรักษาโรค สามารถฝึกฝนเพื่อใช้เยียวยาช่วยเหลือตัวเองได้" นพ.วิโรจน์กล่าว
หากใครจะฝึกชี่กง ต้องทราบก่อนว่าองค์ประกอบของการฝึกชี่กงมีอยู่ 3 ข้อ คือ การกำหนดจิต ถ้าจะเปรียบเทียบกับท่าทางและการหายใจแล้ว ความสำคัญของการกำหนดจิตจะมีมากถึง 80% การกำหนดจิต หมายถึงการชักนำจิตให้ไหลไปตามจุดพลังงานหรือเส้นทางเดินพลังงาน (เส้นประสาทลมปราณ) เพื่อหวังผลให้เกิดการไหลของชี่หมุนเวียไปตามจุดและเส้นพลังงานตามที่ต้องการ ส่วนท่าทางและการหายใจนั้นมีความสำคัญอยู่ที่อย่างละ 10% โดย ท่าทาง มีทั้งท่าที่เคลื่อนไหวในแบบต้งกง และท่านิ่งในแบบจิ้งกง การฝึกท่าทางที่ถูกต้องจะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของชี่ได้ดี ส่วน การหายใจ จะต้องมีจังหวะที่สัมพันธ์สอดคล้องกับท่าทางการฝึกชี่กงในท่านั้นๆ รวมทั้งทำงานสอดคล้องไปกับการกำหนดจิต การหายใจที่เกิดขึ้นนี้จะไหลลื่น ไม่ติดขัด ไม่รู้สึกอึดอัด มีความโปร่งโล่งสบาย
ผู้ที่ฝึกชี่กงเป็นประจำจะได้รับประโยชน์อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้ผู้ฝึกมีสุขภาพดีขึ้น จิตใจสงบเย็นมีสติมากขึ้น การนอนหลับดี เพิ่มสมรรถนะทางเพศและการมีบุตรจากการฝึกที่ไปกระตุ้นฮอร์โมนที่ทำให้อ่อนวัยดูหนุ่มสาว ร่างกายอบอุ่นจึงทนต่อสภาพอากาศที่หนาวเย็นได้มากขึ้น ผิวหนังสดใสอ่อนเยาว์จากการขับสารพิษออกจากต่อมเหงื่อและรูขุมขนทัศนคติดีจากการฝึกที่ช่วยหน่วงให้อยู่กับโลกภายในเพิ่มขึ้น และกระบวนการเมเทบอลิซึมของเซลล์ยังมีประสิทธิภาพที่ดีซึ่งจะเห็นได้ชัดในเรื่องระบบการย่อยอาหารที่พบว่าดูดซึมได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ การฝึกชี่กงยังช่วยให้การควบคุมสมดุลของสรีระการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายดีขึ้นด้วย เนื่องจากพลังชีวิตที่สมบูรณ์ขึ้นจากการฝึกจะทำให้ระบบฮอร์โมนและระบบกระแสประสาทจากสมองทำงานดีขึ้น มีผลต่อการควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ทั่วร่างกาย เช่น อัตราการเต้นหัวใจ อัตราการหายใจ ความดันโลหิต ระดับฮอร์โมน การสั่งงานของระบบประสาท เมื่อระบบดังกล่าวถูกรบกวน ร่างกายก็ยังควบคุมให้อยู่ในสภาวะสมดุลเป็นปกติได้
นพ.วิโรจน์ กล่าวทิ้งท้ายถึงเคล็ดลับสำหรับผู้ที่จะฝึกชี่กงว่าเนื่องจากการฝึกชี่กงเป็นการฝึกที่เกี่ยวกับพลังงานภายในร่างกาย ซึ่งต้องมีการผสมผสานสัมพันธ์กับพลังงานที่อยู่รอบตัวด้วย ดังนั้น ถ้าได้ฝึกในที่ที่มีพลังงานที่ดี พลังงานถ่ายเทได้สะดวก จะทำให้การฝึกก้าวหน้า ถ้าเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยก็จะทำให้จิตใจของผู้ฝึกโปร่งโล่งสบาย ไม่มีความกังวล การฝึกในสถานที่ที่มีพลังธรรมชาติของต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ น้ำตก ทะเล นอกจากได้รับพลังจากธรรมชาติแล้ว ยังได้รับอากาศที่บริสุทธิ์ด้วย แต่ทั้งนี้ต้องฝึกฝนในสถานที่ที่เหมาะสมด้วย เช่น สวนสาธารณะใกล้บ้าน สนามหญ้าหน้าหรือหลังบ้าน หากฝึกภายในบ้านต้องเปิดประตูหน้าต่าง เพื่อให้มีพลังจากภายนอกไหลถ่ายเทเข้ามา
การฝึกชี่กงที่จะช่วยสร้างพลังชีวิตหรือชี่นั้นทำได้ง่ายๆ จะศึกษาวิธีฝึกจากหนังสือก็ได้ หรือจะเรียนกับครูบาอาจารย์ก็ดี ซึ่งคนทุกเพศทุกวัยสามารถฝึกกันได้ ใช้เวลาน้อย ประหยัด สะดวก ไม่มีผลเสียถ้าฝึกอย่างถูกวิธี เพราะฉะนั้นเรามาเริ่มฝึกฝนตัวเองให้เป็นหมอรักษาสุขภาพกายใจของตัวเองด้วยการเสริมสร้างพลังชีวิตกันตั้งแต่วันนี้ดีกว่า จะฝึกชี่กง หรือเลี่ยงพลังลบ รับพลังบวก ก็ทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง