กรุงเทพฯ--5 เม.ย.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
สูงกว่าเกณฑ์ Silent Period ที่ ตลท. กำหนด เป็นเวลา 1 ปี แสดงความมั่นใจพร้อมถือหุ้นยาว ไฟเขียวเปลี่ยนนโยบายบันทึกบัญชีสินทรัพย์ ไม่มีภาระบันทึกค่าเสื่อมราคาส่วนเกินทุน 1,295 ล้านต่อปี
บมจ. ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ หรือ TPIPP เผยที่ประชุมบอร์ด 'บมจ. ทีพีไอ โพลีน' ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ TPIPP มีมติไม่ขายหุ้นที่ถืออยู่ใน TPIPP ทั้งหมด 5,899,999,300 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 70.2 ของทุนชำระแล้วของ TPIPP ภายหลังเสนอขาย IPO เป็นเวลา 1 ปีนับจากวันแรกที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจำนวนหุ้นสูงกว่าเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดห้ามขายหุ้นร้อยละ 55 ที่ติด Silent Period เพื่อแสดงความมั่นใจที่จะถือหุ้นระยะยาวใน TPIPP พร้อมทั้งมีมติบอร์ดเปลี่ยนนโยบายบันทึกบัญชีสำหรับการวัดมูลค่าที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ จากวิธีการตีราคาใหม่ เป็นวิธีราคาทุน ทำให้ บมจ. ทีพีไอ โพลีน ไม่มีภาระในการรับรู้ค่าเสื่อมราคาของส่วนเกินทุนจากการตีราคาสินทรัพย์ เป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ จำนวนประมาณ 1,295 ล้านบาทต่อปีอีกต่อไป ด้านผู้บริหาร TPIPP ระบุปิดการขายหุ้น IPO ของ TPIPP จำนวน 2,500 ล้านหุ้นได้ตามเป้าหมาย โดยจัดสรรให้แก่นักลงทุนสถาบัน-รายย่อยในสัดส่วนใกล้เคียงกัน
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บมจ.ทีพีไอ โพลีน ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ บมจ. ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ หรือ TPIPP เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560 มีมติเห็นชอบที่จะไม่ขาย จำหน่าย หรือโอนหุ้นที่ถืออยู่ใน TPIPP ทั้งหมดจำนวน 5,899,999,300 หุ้น เป็นระยะเวลา 1 ปี นับจากวันแรกที่หุ้นสามัญของ TPIPP เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยหุ้นจำนวนดังกล่าวคิดเป็นร้อยละ 70.2 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ TPIPP ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) ซึ่งสูงกว่าหลักเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ห้ามไม่ให้ บมจ. ทีพีไอ โพลีน ขายหุ้นที่ถืออยู่ใน TPIPP จำนวน 4,620 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 55 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วภายหลังเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนภายในระยะเวลา 1 ปี (Silent Period) เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในธุรกิจและศักยภาพการเติบโตของ TPIPP ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง รวมถึงสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ (NGV) จึงต้องการถือหุ้นในระยะยาว
ทั้งนี้ ปัจจุบัน TPIPP อยู่ระหว่างขยายการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก 3 โรง ซึ่งคาดว่าโรงไฟฟ้าทุกแห่งจะเริ่ม COD ได้ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้ ได้แก่ การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 70 MW ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จจะนำกำลังการผลิตติดตั้งไปรวมกับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง 30 MW เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 100 MW เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ในอนาคต โดยเชื่อมั่นว่าจะสามารถลงนามในสัญญาขายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ได้ทันตามกำหนดภายในวันที่ 7 กันยายน 2560
ขณะเดียวกัน TPIPP อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน 150 MW และก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินและพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 70 MW ที่ออกแบบให้สามารถผลิตไฟฟ้าสำรองป้อนให้แก่โรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 60 MW หรือโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 70 MW โรงใดโรงหนึ่งในกรณีที่ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เต็มกำลังการผลิต หรือต้องปิดซ่อมบำรุง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นคงในการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้ กฟผ. และส่งผลดีต่อความสามารถการทำกำไรในอนาคต
นอกจากนี้ ที่ประชุมบอร์ด บมจ. ทีพีไอ โพลีน ยังมีมติอนุมัติการเปลี่ยนนโยบายการบัญชี สำหรับการตีราคาที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ จากวิธีตีราคาใหม่ เป็นวิธีราคาทุน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้น (องค์ประกอบอื่นของส่วนของผู้ถือหุ้น) ลดลงจำนวน 18,320 ล้านบาท (ประกอบด้วยสินทรัพย์ลดลงในส่วนของ บัญชีที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ จำนวน 22,900 ล้านบาท ในขณะที่ด้านหนี้สินลดลงในส่วนของบัญชีหนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีจำนวน 4,580 ล้านบาท) นอกจากนี้จะส่งผลให้ บมจ.ทีพีไอ โพลีน ไม่มีภาระในการรับรู้ค่าเสื่อมราคาของส่วนเกินทุนจากการตีราคาสินทรัพย์ เป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ จำนวนประมาณปีละ 1,295 ล้านบาท อีกต่อไป ซึ่งจะส่งผลดีต่อแนวโน้มการดำเนินงานที่ดีในอนาคต
ด้านนายภากร เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ หรือ TPIPP ผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมถึงธุรกิจสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ (NGV) กล่าวเพิ่มเติมว่า จากมติที่ประชุมบอร์ด บมจ. ทีพีไอ โพลีน ที่ตัดสินใจยืนยันไม่ขายหุ้นที่ถืออยู่ใน TPIPP จำนวน 5,899,999,300 หุ้น เป็นเวลา 1 ปี จะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อหุ้น TPIPP
ทั้งนี้ บริษัทฯ สามารถปิดการขายหุ้น IPO จำนวน 2,500 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 7 บาท ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งหุ้น IPO จำนวนดังกล่าว คิดเป็นร้อยละ 29.8 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของ TPIPP ภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ โดยได้ขายหุ้น IPO ให้แก่นักลงทุนสถาบันคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 45 เสนอขายให้แก่นักลงทุนรายย่อยประมาณร้อยละ 43 และเสนอขายให้แก่ผู้มีอุปการคุณประมาณร้อยละ 12 ซึ่งสัดส่วนที่ขายให้แก่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยถือว่าอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันและมีความสมดุลที่ดี ซึ่งหลังจากนี้บริษัทฯ คาดว่าจะนำหุ้นเข้าทำการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 5 เมษายนนี้