กรุงเทพฯ--11 เม.ย.--พีอาร์ดีดี
นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสแรก ปี 2560 กองทุนที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนจำนวนมาก คือ กองทุนประเภท Multi asset income ซึ่งเป็นกองทุนรวมผสมที่เน้นกระจายการลงทุนในหลากหลายประเภทสินทรัพย์ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเน้นผสมสินทรัพย์ทั่วโลกเพื่อสร้างกระแสเงินสดอย่างสม่ำเสมอ สามารถตอบสนองความต้องการของนักลงทุนในเรื่องรายได้ระหว่างทาง และโอกาสในการรับผลตอบแทนตามเป้าหมายในระดับที่น่าพอใจตามประเภทสินทรัพย์และระยะเวลาที่ลงทุน จึงทำให้กองทุนประเภทดังกล่าวเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายสมิทธ์กล่าวว่า กองทุนประเภท Multi asset income เป็นกองทุนที่สามารถทยอยลงทุนได้ในทุกช่วงสภาวะของตลาดและเหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ เนื่องจากจะมีสัดส่วนของการลงทุนในหุ้นผสมอยู่ โดยกองทุนประเภทนี้เหมาะที่จะเป็นกองทุนหลักในพอร์ตการลงทุน เพราะมีการกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์และมีความผันผวนต่ำกว่าหุ้น แต่มีโอกาสการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาวสูงกว่าตราสารหนี้
ทั้งนี้ ปัจจุบันบลจ.ไทยพาณิชย์ มีกองทุนประเภท Multi asset income ภายใต้การบริหารจำนวน 4 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอลอินคัมพลัส (SCBGPLUS) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอลอินคัม (SCBGIN) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ อินคัมพลัส (SCBPLUS) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ มัลติอินคัมพลัส (SCBMPLUS) มีมูลค่ารวม 71,061 ล้านบาท (ณ วันที่ 31 มี.ค.2560)
"สำหรับกองทุน SCBGPLUS และ กองทุน SCBGIN ถือเป็นกองทุนที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อยทำให้ขนาดกองทุนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศที่บริหารจัดการโดย Deutsche Asset & Wealth Management มีการบริหารงานแบบ Active จดทะเบียนในประเทศลักเซมเบิร์ก" นายสมิทธ์กล่าว
สำหรับ 2 กองทุนนี้เน้นบริหารเพื่อสร้างรายได้ระหว่างการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ โดยรักษาระดับความผันผวนของพอร์ตการลงทุนให้อยู่ในช่วงประมาณ 5 – 8% ต่อปี รวมถึงสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มในระยะยาว โดยจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ ตราสารอนุพันธ์ ขณะเดียวกันผู้จัดการกองทุนสามารถปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมตามสภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลาโดยไม่มีข้อจำกัดในการลงทุน
นอกจากนี้จุดเด่นของกอง SCBGPLUS และ SCBGIN คือ กองทุนจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ (Auto redemption) จากผู้ถือหน่วยลงทุนไม่เกินปีละ 12 ครั้ง โดยที่ผ่านมากองทุน SCBGPLUS ซึ่งจัดตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2559 มีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ 14 ครั้ง รวม 0.7362 บาทต่อหน่วย ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 100,000 ล้านบาท มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 31,864 ล้านบาท (ณ 31 มี.ค.2560) ส่วนกองทุน SCBGIN จัดตั้งเมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2560 มีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ 2 ครั้ง รวม 0.0940 บาทต่อหน่วย ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 30,000 ล้านบาท มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 22,131 ล้านบาท (ณ 31 มี.ค.2560) ซึ่งกองทุนดังกล่าวสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ