อินเทลสร้างรายได้ไตรมาสแรกปี 2544 มูลค่า 6.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

ข่าวทั่วไป Tuesday April 24, 2001 10:41 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 เม.ย.--แชนด์วิค อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)
กำไรต่อหุ้นไม่รวมต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อกิจการ * 0.16 เหรียญสหรัฐฯ กำไรต่อหุ้นไตรมาสแรก 0.07 เหรียญสหรัฐ
บริษัท อินเทล คอร์ปอเรชั่น ประกาศผลประกอบการ ไตรมาสแรกของปี 2544 โดยมีรายได้รวม 6,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 16 จาก ไตรมาสแรกของปี 2543 และลดลงร้อยละ 23 จากไตรมาสที่ผ่านมา โดยในไตรมาสแรกของปี 2544 นี้ รายได้จาก อินเทล เอเชียแปซิฟิก มีสัดส่วนเป็น ร้อยละ 28 ของรายได้ทั้งหมดของอินเทล เทียบกับร้อยละ 25 ใน ไตรมาสแรกปี 2543 และร้อยละ 25 ในไตรมาสที่แล้วสำหรับไตรมาสแรกนี้ อินเทลมีรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการซื้อกิจการ มูลค่า 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงขึ้นร้อยละ 64 จากไตรมาสแรกของปี 2543 และลดลงร้อยละ 58 จากไตรมาส ที่แล้ว กำไรต่อหุ้นก่อนหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการซื้อกิจการ มีมูลค่า 0.16 เหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 63
จากไตรมาสแรกของปี 2543 ที่มีกำไรต่อหุ้น 0.43 เหรียญสหรัฐ และลดลงร้อยละ 58 จากไตรมาสที่แล้ว โดยกำไรสุทธิต่อหุ้นในไตรมาสแรกปีที่แล้วนั้นได้มีการบันทึกลดภาษีค้างจ่ายที่ได้เคยลงบัญชีไว้แล้วออกไป ทำให้ประมาณการภาษีของไตรมาสนั้นลดลง 600 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีผลให้
* ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการซื้อกิจการ ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาที่เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินการซื้อกิจการ และการตัดจำหน่ายมูลค่าของชื่อเสียงและสินทรัพย์ไม่มีตัวตนอื่นๆ ที่ตัดบัญชีหนเดียว ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนในการซื้อกิจการ ได้แก่ มูลค่าของเทคโนโลยีที่บริษัทนั้นๆ กำลังพัฒนาอยู่ เครื่องหมายผลิตภัณฑ์ และบุคลากรที่บริษัทนั้นๆ มีอยู่ รายได้ก่อนการหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการซื้อกิจการจะต่างจากรายได้ที่นำเสนอตามหลักบัญชีทั่วไป ทั้งนี้ เนื่องจากรายได้ตามหลักบัญชีจะยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายส่วนนี้ออก
กำไรต่อหุ้นในไตรมาสแรกของปี 2543 ดีขึ้น 0.09 เหรียญสหรัฐ ต่อหุ้น การบันทึกลดภาษีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับประกาศของทางบริษัทที่ว่าทางกรมสรรพากร ได้เสร็จสิ้นการตรวจสอบเกี่ยวกับการคืนภาษีจนกระทั่งถึงปี 2541 และรวมปี 2541 ด้วย
เมื่อรวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเข้าซื้อกิจการซึ่งสอดคล้องตามหลักทางบัญชีทั่วไปแล้ว รายได้สุทธิสำหรับไตรมาสแรกจะมีมูลค่า 485 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 82 จากไตรมาสแรกของปี 2543 และลดลงร้อยละ 78 จากไตรมาสที่แล้ว รายได้ต่อหุ้นเท่ากับ 0.07 เหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 82 จาก 0.39 เหรียญสหรัฐต่อหุ้นในไตรมาสแรกปี 2543 และลดลงร้อยละ 78 จากไตรมาสที่แล้ว
ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเข้าซื้อกิจการในไตรมาสแรกประกอบด้วยค่าใช้จ่ายเบ็ดเสร็จที่ตัดบัญชี หนเดียวของการวิจัยและพัฒนาในช่วงของการซื้อ 75 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และค่าใช้จ่ายจากการ ตัดจำหน่ายมูลค่าของชื่อเสียงและสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อกิจการจำนวน 585 ล้านเหรียญสหรัฐ
"ธุรกิจไมโครโปรเซสเซอร์ของอินเทลดูเหมือนว่าจะมีความคงที่ และคาดจะได้เห็นรูปแบบปกติของการดำเนินธุรกิจเริ่มเข้าสู่ระดับการทำธุรกิจในปัจจุบัน" มร. เครก อาร์ บาร์เรตต์ ประธาน และ หัวหน้าคณะผู้บริหารของอินเทลกล่าว "ในธุรกิจด้านการสื่อสารของอินเทลมีความเชี่ยวชาญและ คุ้นเคยเป็นอย่างดีนั้น หากมองไปถึงอนาคตโดยเทียบจากสภาพแวดล้อมทั่วไปในปัจจุบัน เราเชื่อว่าการลงทุนอย่างจริงจังของอินเทลในเทคโนโลยีการผลิตใหม่ๆ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชั้นนำที่แข่งขันได้ในเชิงต้นทุนนั้นจะเป็นกลยุทธ์ที่นำไปสู่ความสำเร็จ"
ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2544 อินเทลได้ประกาศการเข้าซื้อกิจการของ บริษัท เซอร์คอม อิงค์ และบริษัท ไอซีพี วอร์เท็กซ์ คอมพิวเตอร์ซิสเต็ม จีเอ็มบีเอช เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งได้ประกาศจะเข้าซื้อกิจการบริษัท วีเอ็กซ์เทล อิงค์ ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้าซื้อกิจการ ดังกล่าวได้ในเอกสารฉบับนี้ ในส่วนของความเคลื่อนไหวที่โดดเด่นในไตรมาสที่หนึ่งในไตรมาสนี้ บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดประจำไตรมาสเท่ากับ 0.02 เหรียญสหรัฐฯ ต่อหุ้น โดยได้จ่ายเงินปันผลนี้ให้กับผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่อลงทะเบียนในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2544 ไปเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2544 ทั้งนี้อินเทลได้มีการจ่ายเงินปันผลประจำทุกไตรมาสให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอติดต่อกันมา 8 ปีแล้ว
ในไตรมาสแรกนี้ บริษัทฯ ได้มีการซื้อคืนหุ้นสามัญกลับมาจำนวนทั้งสิ้น 29.4 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามโครงการที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตาม นับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการในปี 2533 โดยบริษัทฯ ได้มีการซื้อคืนหุ้นรวมทั้งสิ้น 1,400 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 23,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
แนวโน้มธุรกิจ (Business Outlook)
ข้อมูลต่อไปนี้เป็นการคาดการณ์โดยอิงกับสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นหลัก โดยผลที่เกิดขึ้นจริงอาจ แตกต่างไปจากนี้ นอกจากข้อมูลดังกล่าวไม่ได้รวมถึงผลกระทบอันอาจเกิดจากการรวมหรือเข้าซื้อ กิจการใดๆ ที่อาจมีการดำเนินการเสร็จสิ้นภายหลังจากวันที่ 31 มีนาคม 2544เริ่มจากไตรมาสนี้เป็นต้นไป อินเทลจะมีการออก Business Update ประจำไตรมาสเพื่อ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลและแนวโน้มทางธุรกิจในอนาคต สำหรับไตรมาสนี้มีกำหนดจะออกในวันที่ 7 มิถุนายน 2544
เนื่องจากความไม่แน่นอนของสภาพเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ทำให้ยากต่อการคาดการณ์เกี่ยวกับอุปสงค์ความต้องการสินค้าในตลาดตลอดจนประเด็นสำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
** ประมาณการณ์รายได้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2544 จะอยู่ระหว่าง 6,200 ถึง 6,800 ล้านเหรียญสหรัฐ
** อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสที่ 2 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 49 บวกลบหนึ่งถึงสองจุด ลดลงจากไตรมาสแรกร้อยละ 51.7 โดยคาดว่ากำไรขั้นต้นสำหรับปี 2544 จะเป็นร้อยละ 50 เพิ่ม หรือ ลดลงเพียงเล็กน้อย สัดส่วนของกำไรขั้นต้นนั้นขึ้นอยู่กับระดับรายได้ สัดส่วนสินค้าที่ขาย การตั้งราคาสินค้า การเปลี่ยนแปลงของต้นทุนต่อหน่วย และระยะเวลาในการผลิตจากโรงงาน และต้นทุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
** ค่าใช้จ่ายต่างๆ (ด้านการวิจัยและพัฒนาซึ่งไม่รวมที่อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา การเข้าซื้อ กิจการ) ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2544 คาดว่าจะอยู่ระหว่างจำนวน 2,200-2,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ค่าใช้จ่ายต่างๆ อาจเปลี่ยนแปลงไปจากจำนวนที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับระดับของ รายได้และผลกำไร
** ค่าใช้จ่ายในด้านการวิจัยและพัฒนาซึ่งไม่รวมการวิจัยและพัฒนาที่อยู่ในช่วงระหว่างการเข้าซื้อ กิจการ สำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2544 คาดว่าจะเท่ากับจำนวน 4,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
** ค่าใช้จ่ายด้านทุนสำหรับปี 2544 คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 7,500 ล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทฯ จะอาศัยความแข็งแกร่งทางการเงินในการลงทุนเพื่ออนาคตในเรื่องหลักๆ เช่น เทคโนโลยีการผลิตแบบ 0.13 ไมครอน ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถผลิตไมโครโปรเซสเซอร์ชั้นนำได้อย่างมีประสิทธิผลในเชิงต้นทุน โดยสามารถเริ่มได้ในช่วงปลายปีนี้ และด้วยกระบวนการผลิตนี้ทำให้บริษัทสามารถผลิตเวเฟอร์ขนาด 300 มิลลิเมตรซึ่งคาดว่าจะทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยของไมโครโปรเซสเซอร์ลดลงได้ประมาณร้อยละ 30 ในปี 2545 เป็นต้นไป
** บริษัทคาดว่ารายได้จากการลงทุนต่างๆ ดอกเบี้ยและรายได้อื่นๆ ในไตรมาสที่สอง ของปี 2544 จะมีจำนวน 115 ล้านเหรียญสหรัฐ การคาดการณ์นี้ไม่รวมรายได้ที่อาจเกิดจากการขายโครงการ ลงทุน ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับระดับความแปรปรวน และการเคลื่อนไหวของตลาดทุน การได้รับ ผลตอบแทนตามที่วางแผนไว้จากการลงทุนต่างๆ รวมถึงจากการลงทุนที่ถูกซื้อไป การตัดสินใจเกี่ยวกับเงินสำรอง อัตราดอกเบี้ย งบดุลเงินสด มูลค่าตลาดของตราสารอนุพันธ์ และคาดว่า จะไม่มีหรือปัจจัยที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้น
** อัตราภาษีสำหรับในปี 2544 คาดว่าจะมีจำนวนประมาณร้อยละ 29.8 ทั้งนี้ไม่รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเข้าซื้อกิจการ, โดยมีอัตราลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ ร้อยละ 30.3
** ค่าเสื่อมราคาสำหรับในไตรมาสที่สอง คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับตลอดปี 2544
** คาดว่าการตัดจำหน่ายมูลค่าชื่อเสียงและสินทรัพย์ที่เป็นรูปธรรม ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าซื้อกิจการ คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 520 ล้านเหรียญสหรัฐ ในไตรมาสที่สอง และประมาณ 2,100 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับปี 2544
คำกล่าวของ มร.เครก อาร์ บาร์เร็ตต์ และข้อความสรุปภาพรวมข้างต้น เป็นการคาดการณ์ไป ล่วงหน้า โดยนำปัจจัยความเสี่ยงและความไม่แน่นอนบางประการเข้ามาประกอบการพิจารณาด้วย นอกจากปัจจัยต่างๆ ดังที่ได้ระบุไว้ข้างต้นแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจก่อให้เกิดผลประกอบการที่เกิดขึ้นจริงแตกต่างออกไปจากการคาดการณ์นี้ซึ่ง ได้แก่ สภาพธุรกิจและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการเติบโตของอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และการสื่อสารในภูมิภาคต่างๆ ของโลกการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการซื้อของผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงรุ่นและความเร็วของไมโคร โปรเซสเซอร์ การสั่งซื้อส่วนประกอบและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ปัจจัยด้านการแข่งขัน เช่น สถาปัตยกรรมชิปและเทคโนโลยีการผลิตของคู่แข่ง การแข่งขันด้านการผลิตไมโครโปรเซสเซอร์เพื่อให้สามารถใช้งานกับซอฟต์แวร์ต่างๆ ได้ และการยอมรับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในตลาดบางกลุ่ม แรงกดดันด้านราคา การพัฒนาและช่วงจังหวะการแนะนำของซอฟต์แวร์ต่างๆ สู่แอพพลิเคชั่น จำนวนสินค้าคงคลังที่มีไม่พอ มากเกินไปหรือตกรุ่น ความแตกต่างในการประเมินราคา สินค้า คงคลัง ความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการพัฒนาขั้นตอนการผลิต และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเฉพาะตามความต้องการของตลาดบางกลุ่ม การเริ่มดำเนินการผลิตตามที่วางแผนไว้ ความสามารถในการขยายหรือสร้างธุรกิจใหม่ ซึ่งได้แก่ ธุรกิจเครือข่าย, การสื่อสาร ไร้สายและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ต รวมทั้งความสำเร็จในการดำเนินการธุรกิจใดๆ ที่ซื้อมา ผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายนอกประเทศสหรัฐอเมริกา เช่น ผลกระทบต่อธุรกิจจากการแปรปรวนของอัตราแลกเปลี่ยน หรือความไม่มีเสถียรภาพมั่นคงทาง การเมืองในท้องถิ่น เช่น เหตุการณ์ไม่สงบในประเทศอิสราเอล ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากความคาดหมาย หรือผลกระทบอื่นๆ ที่เกี่ยวกับโปรเซสเซอร์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ทำงานผิดไปจากข้อกำหนดที่ระบุไว้ คดีความเกี่ยวกับกฎหมายต่อต้านการผูกขาดทางปัญญา ผู้บริโภคและปัญหาอื่นๆ ปัจจัยความเสี่ยงอื่นๆ ที่มีการบันทึกไว้ในรายงานที่บริษัทจัดทำเพื่อส่งต่อตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวถึงในรายงานฟอร์ม 10-K ประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2543 (ส่วนที่ 1, ข้อ 2 ในหมวด "แนวโน้ม")
บริษัท แชนด์วิค อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด
โทร. 257-0300
โทรสาร 257-0312 (ยังมีต่อ)
-อน-

แท็ก อินเทล   สหรัฐ  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ