กรุงเทพฯ--19 เม.ย.--เฟลชแมน ฮิลลาร์ด
ถือเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าของวงการนักธุรกิจไทย เมื่อสถาบันการศึกษาชั้นนำด้านผู้ประกอบการธุรกิจจากสหรัฐอเมริกาแบบสัน คอลเลจ (Babson College) ที่นำโดย ดร.เคอร์รี่ ฮีลีย์ อธิการบดี แบบสัน คอลเลจ ได้เล็งเห็นถึงความโดดเด่นของผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศไทยและผู้นำทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค จึงได้จัดงานประชุมสุดยอดผู้นำทางเศรษฐกิจประจำปีขึ้นเป็นครั้งที่สามภายใต้ชื่องาน แบบสัน คอนเนค เวิล์ดไวด์ 2017 (Babson Connect: Worldwide 2017) เพื่อเป็นการพบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความรู้ และวัฒนธรรมระหว่างบุคลากรจากแบบสัน ศิษย์เก่า ผู้ปกครอง ผู้ประสานงานและพันธมิตรทางธุรกิจเป็นจำนวนมากกว่า 300 คน ตลอดระยะเวลารวมสามวัน ตั้งแต่วันที่ 24-26 มีนาคม ที่ผ่านมา ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ
หนึ่งในไฮไลท์สำคัญของงานคือการรวมตัวกันของนักธุรกิจชั้นนำมากมายที่มีชื่อเสียงในระดับประเทศ ภูมิภาค และรวมไปถึงระดับโลกเพื่อมาร่วมเสวนา พูดคุยถึงสถานการณ์และภาพรวมของเศรษฐกิจโดยเฉพาะในประเทศไทยภายใต้ชื่อหัวข้อEmerging Trends in the ASEAN Region ซึ่งในหัวข้อดังกล่าวเป็นการพูดคุยของสามนักธุรกิจชื่อดัง นายวิลเลียม ไฮเน็ค – ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) เครือไมเนอร์ กรุ๊ป (Minor Group), นายอาลก โลเฮีย – รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) กลุ่มบริษัทอินโดรามา เวนเจอร์ส และ นายธีรพงศ์ จันศิริ – ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัทไทยยูเนี่ยน และรวมไปถึงการได้รับเกียรติจาก ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มาร่วมกล่าวเปิดงาน และ นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูรรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่มาร่วมเสวนาในงานดังกล่าวด้วย
ทั้งสามได้เริ่มต้นบทสนทนา โดยเล่าถึงความเป็นมาและพื้นหลังของธุรกิจของตน ซึ่งหนึ่งสิ่งที่ทั้งสามเคยประสบมาร่วมกันคือภาวะฟองสบู่แตกหรือวิกฤตต้มยำกุ้งนั่นเอง แต่ถึงแม้จะประสบวิกฤตทางเศรษฐกิจมาหลายครั้ง นายวิลเลียม ไฮเน็ค ยังคงมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีโอกาสในการเติบโตอยู่สูงมากและยังสามารถฟื้นตัวจากสถานการณ์ต่างๆได้อย่างรวดเร็ว นายธีรพงศ์ จันศิริ คืออีกหนึ่งเสียงที่เห็นคล้ายกัน เพราะธุรกิจด้านอาหารนั้นมักจะมีความเสี่ยงอยู่หลายปัจจัยและยังสามารถส่งผลถึงผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในหลากหลายรูปแบบ การเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะส่งผลกระทบกับธุรกิจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่นักธุรกิจทุกคนควรพิจารณา
นายอาลก โลเฮีย ได้แนะนำเพิ่มเติมอีกว่านักธุรกิจรุ่นใหม่ ควรจะเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาและเตรียมพร้อมที่จะทำงานให้หนัก อีกทั้งนักธุรกิจสมัยนี้มีความโชคดีกว่านักธุรกิจยุคก่อนๆอยู่มาก เพราะสมัยนี้มีอินเตอร์เนตและความเป็นดิจิตอลที่มาช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
"ดังนั้นนักธุรกิจควรมีความมุ่งมั่นและหิวโหยความสำเร็จเพื่อที่จะนำเอาความรู้ ความสามารถ รวมถึงปัจจัยส่งเสริมที่มีมาผลักดันให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้" นายธีรพงศ์ กล่าวเสริม
เมื่อนายมาโนช มาดนานีประธานร่วมธนาคาร TRIGON Investment ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้นำเนินการเสวนา ถามถึงสิ่งที่นักธุรกิจควรเตรียมพร้อมและตั้งรับภายในเวลา 5ปีที่จะมาถึง นายธีรพงศ์ ได้ตอบว่า"ธุรกิจมันเปลี่ยนแปลงไปเร็วมากๆ ดังนั้นการปรับตัวเราให้ดีขึ้นและตามความเปลี่ยนแปลงให้ทันคือสิ่งที่สำคัญมาก การมีบุคลากรในองค์กรที่ดี (Talent) การเติบโตอย่างยั่งยืน(Sustainability) และการนำเอานวัตกรรมต่างๆ (Innovation) มาปรับใช้ในองค์กรจึงเป็นหลักสำคัญสามอย่างที่ตนเล็งเห็นและให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะการเตรียมพร้อมคือสิ่งที่เราควบคุมได้"
นายวิลเลียมได้กล่าวเสริมในจุดนี้ว่า "ไม่มีใครหรอกที่ไม่กังวัลกับการเปลี่ยนแปลงแต่ผมจะไม่ใช้เวลากังวลไปกับสิ่งที่เหนือการควบคุมของผม ผมเลือกที่จะดูแลและกังวลในส่วนที่ผมควบคุมได้"
"เราต้องหาวิธีการแก้ปัญหาและทางออกที่ดีที่สุดให้กับธุรกิจของเรา การปรับตัว ยืดหยุ่น และการมีแผนสำรองคือสิ่งที่เราเลือกที่จะทำ" นายธีรพงศ์กล่าวต่อ
เราต่างรู้ดีว่าสถานการณ์โลกในปัจจุบันนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคม ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่ทางตรงก็ทางอ้อม "เราทุกคนต่างอยากบริหารให้ธุรกิจของเราไปได้ตลอดรอดฝั่งซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การแก้ปัญหารายวัน แต่มันควรจะเป็นการฝึกซ้อมและแก้ปัญหาที่จะสามารถนำมาปรับใช้ได้อย่างยาวนานและมั่นคง" นายอาลกกล่าว
ซึ่งหากจะพูดกัน การจะสร้างธุรกิจขึ้นมานั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายดายนักและการที่จะบริหารธุรกิจและนำพาคนในองค์กรณ์ให้เดินหน้าฝ่าฟันอุปสรรค ความเปลี่ยนแปลง และปัญหาไปพร้อมๆกันนั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า การมีข้อมูล มีความรู้ และการศึกษาในด้านการประกอบการธุรกิจนั้นจึงถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่จะสามารถช่วยนักธุรกิจและคนที่มีใจรักอยากจะสร้างธุรกิจเป็นของตนเอง การเรียนรู้และการมีประสบการณ์คือหนึ่งในพื้นฐานสำคัญของการเริ่มต้นธุรกิจเพราะการจะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ได้มาจากโชคชะตาแต่อย่างเดียวอย่างที่หลายๆคนเข้าใจ แต่การจะประสบความสำเร็จได้นั้น คือการเรียนรู้ เตรียมพร้อม ยืดหยุ่น และการให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้มากกว่าจะไปกังวลอยู่กับปัจจัยอื่นๆที่ผันผวนและพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา