กรุงเทพฯ--20 เม.ย.--ธนาคารไทยพาณิชย์
บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ประเมินตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มเติบโตได้ตามศักยภาพ ตอบรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย สถานการณ์การเมืองภายในประเทศที่มีเสถียรภาพ และกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น พร้อมรับประโยชน์จากเศรษฐกิจประเทศมหาอำนาจที่มีสัญญาณเติบโตเร็วขึ้น ด้านความเสี่ยงของตลาดรับยังมีปัจจัยกดดันจากต่างประเทศรอบด้าน แต่ SET Index ที่ปรับตัวต่ำกว่าตลาด (underperform) ในไตรมาสแรก เป็นปัจจัยที่ลดความเสี่ยงขาลงในกรณีที่ตลาดโลกแกว่งตัวผันผวนในอนาคต พร้อมยืนเป้าหมาย SET Index ปี 2560 อยู่ที่ 1700 จุด ตามประมาณการเดิมแนะกลยุทธ์ลงทุนไตรมาส 2 เลือกหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจโลกที่เร่งตัวขึ้น
นายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยสำหรับไตรมาส 2/2560 ยังมีแนวโน้มสามารถเติบโตได้ดีด้วยปัจจัยสนุบสนุนทั้งภายในและภายนอก แต่ทั้งนี้ยังคงต่อเผชิญกับปัจจัยกดดันจากประเทศ อาทิ นโยบายเศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในกลุ่มยุโรป รวมถึงการตัดสินใจขยายระยะเวลาปรับลดกำลังการผลิตของโอเปก แต่เชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้จะไม่ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อตลาดหุ้นไทย ตลาดจะสามารถปรับตัวรองรับกับความเสี่ยงได้มากพอควร เนื่องจากในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 SET Index ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.2% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่า (underperform) ตลาดอื่นๆ โดยที่ตลาดเกิดใหม่ (ปรับขึ้น 11-13%) และตลาดที่พัฒนาแล้ว (ปรับขึ้น 4.5-6%)ซึ่ง SCBS มองว่าการปรับตัวของตลาดในไตรมาสที่ผ่านมา จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงขาลงหากตลาดแกว่งตัวผันผวนในอนาคต นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังได้รับประโยชน์จากอุปสงค์ในต่างประเทศที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเศรษฐกิจประเทศหลักๆ เริ่มขยายตัวในทิศทางสอดประสานกันเพื่อมุ่งสู่การเติบโตที่แข็งแกร่ง ซึ่งส่งผลดีต่อการค้าระหว่างประเทศ และช่วยให้การส่งออกของไทยสามารถฟื้นตัวต่อเนื่องด้วยเช่นกัน อีกทั้งแนวโน้มที่เงินบาทคาดว่าจะอ่อนค่าลงตามทิศทางการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้นจากการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนในประเทศจะเป็นปัจจัยสนับสนุนภาคการส่งออกอีกทางหนึ่งด้วย
ทั้งนี้ SCBS ยังคงเป้าหมาย SET Index สำหรับปี 2560 อยู่ที่ 1700 จุด ตามเป้าหมายเดิม ด้วยปัจจัยบวกของทิศทางเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างชัดเจน รวมถึงสถานการณ์การเมืองในประเทศที่มีเสถียรภาพและความชัดเจนมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะการกำหนดวันเลือกตั้ง อีกทั้งกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ปัจจัยเหล่านี้จะมีส่วนสนับสนุนในตลาดหุ้นไทยมี Valuation สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ระดับประมาณ +1SD ของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 3 ปี ของ SET Index ในช่วงอีกหนึ่งปีข้างหน้า ทั้งนี้เป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ดังกล่าวสะท้อนถึง upside 7.7% และอัตราส่วน PEระยะ 12 เดือนข้างหน้าที่ 15 เท่า
สำหรับหุ้น Top Picks ประจำไตรมาส 2/2560 ที่ SCBS แนะนำนั้น อ้างอิงประเด็นการส่งออกที่ฟื้นตัวและแนวโน้มค่าเงินบาทอ่อนค่า โดยเลือกหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการค้าโลก ดังนี้
· บมจ. บริษัท ดิ เอราวัณ (ERW) : กำไรของบริษัทจะเติบโต 19% YoY ในปี 2560 โดยได้รับปัจจัยกระตุ้นจากอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น เพราะอัตราการเข้าพักสูง ราคาหุ้น ERW ปรับตัว underperform อยู่ที่ 7% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
· บมจ. จีเอฟพีที (GFPT) : จะได้รับประโยชน์จากราคาไก่ที่สูงขึ้น และต้นทุนอาหารสัตว์ที่ลดลงตั้งแต่ต้นปี2560 การระบาดของโรคไข้หวัดนกและปัญหาคุณภาพในประเทศอื่นๆ ถือเป็นปัจจัยบวกสำหรับผู้ส่งออกไทย
· บมจ. ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA) : ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์อยู่ในวัฏจักรขาขึ้น ความต้องการเซ็นเซอร์ยานยนต์และสมาร์ทโฟนจะกลายเป็นปัจจัยกระตุ้นการเติบโตของ HANA กำไรจะฟื้นตัวกลับมาเติบโต35% ในปี 2560
· บมจ. เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ (KCE) : หลังจากกำไรชะลอตัวลงในไตรมาส 4/59 ถึง ไตรมาส 1/60 กำไรจะกลับมาเติบโตตั้งแต่ไตรมาส 2/60 สู่ระดับที่มีอัตราการเติบโตตลอดทั้งปี 2560 ที่ 22% YoY โดยได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์จำนวนมาก และการขยายกำลังการผลิตแม้ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น
· บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) : คาดกำไรฟื้นตัว +22% YoY ในปี 2560 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวในธุรกิจที่พักอาศัย ราคาหุ้น MINT ปรับตัว underperform ตลาดอยู่ 11% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา และซื้อขายที่ valuation น่าสนใจ
· บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) : คาดกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง +20% YoY ในปี 2560 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการปรับราคาผลิตภัณฑ์ทูน่าและแซลมอนได้ดีขึ้น การอ่อนค่าของเงินบาทจะส่งผลดีต่อกำไร ราคาหุ้นlaggard ที่สุดในกลุ่มอาหาร